xs
xsm
sm
md
lg

กระหึ่ม “ไทยเฟ็กซ์ 2019” คึกคัก โชว์นวัตกรรม-สินค้าใหม่ฟูด-ดริงก์ ค่ายใหญ่เปิดแผนรุก-ขยายไลน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการรายวัน 360 - “ไทยเฟ็กซ์” ปีนี้คึกคักไม่แพ้ปีก่อน ผู้ประกอบการฟูดแอนด์ดริงก์ร่วมงานเพียบเช่นเคย ขนนวัตกรรม สินค้าใหม่สู่ตลาด มาร่วมโชว์งานเพียบ หวังต่อยอดลุยตลาดต่างประเทศ คาดงานนี้สะพัด 1.1 หมื่นล้านบาท รายใหญ่เปิดแผนลุยตลาด

กระหึ่มอีกครั้งแล้วในปี 2562 นี้ สำหรับงาน “THAIFEX - World of Food ASIA 2019” เป็นอีกหนึ่งอีเวนต์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับวงการอาหารและเครื่องดื่มทุกปี ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ ประเทศเยอรมนี ในฐานะผู้จัดงานอย่างเป็นทางการ


ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มทั้งไทยและต่างประเทศ นำเอานวัตกรรม เทคโนโลยี สินค้าใหม่มาโชว์เพื่อแสดงศักยภาพกันอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งการต่อยอดในการขยายตลาดต่างประเทศด้วย เพราะงานนี้จะเป็นทั้งเวทีซื้อขายภาคธุรกิจกับภาคประชาชนทั่วไป

ปีนี้งานจัดขึ้นเป็นปีที่ 28 แล้ว ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2562 นี้ ที่อิมแพค เมืองทองธานี โดยมีผู้ประกอบการร่วมแสดงสินค้ากว่า 6,000 คูหา จาก 40 ประเทศ ผู้ลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้ากว่า 7,300 คน จาก 106 ประเทศ คาดจะมีผู้ซื้อหลั่งไหลมาชมงานจากทั่วโลกกว่า 130,000 คน เกิดมูลค่าการซื้อขาย 11,500 ล้านบาท
สำหรับการจัดงานในปีนี้ นับว่ามีความยิ่งใหญ่ มีความเป็นสากล และมีกิจกรรมที่น่าสนใจกว่าทุกปี ทำให้มีผู้ประกอบการจากประเทศต่าง ๆ กว่า 40 ประเทศ อาทิ เอเชียตะวันออก อาเซียน ยุโรป สหรัฐอมริกา ละตินอเมริกา แอฟริกา พร้อมใจกันมาจัดแสดงสินค้ารวมกว่า 2,700 บริษัท 6,000 คูหา มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีผู้ลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้ากว่า 7,300 คน จาก 106 ประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อเมริกา ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี จีน ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินเดีย คาดการณ์ว่าตลอดทั้งงานจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 130,000 คน และมีมูลค่าการซื้อขาย 11,500 ล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อขายในวันเจรจาการค้า 11,445 ล้านบาท และการจำหน่ายปลีก 55 ล้านบาท

*

“สิงห์ต๊อด” ผุดฟูดวัลเลย์

นายปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจซัปพลายเชน และกรรมการบริหาร บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารมา 9 ปี เป็นแบบโชว์เคส รีเทล และเริ่มให้ความสำคัญในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง 5 ปีที่ผ่านมาธุรกิจนี้มีความกระจัดกระจาย โจทย์คือต้องควบรวมกิจการให้เข้าอยู่ในหมวดหมู่อาหารและเครื่องดื่ม ดูว่าธุรกิจไหนเป็นอย่างไรจะต่อยอดอย่างไร ภายใต้บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ส จำกัด ที่จะต้องเทกออฟหรือขับเคลื่อนให้เกิดรายได้ภายใน 3 ปี ธุรกิจเหล่านี้ในเครือมีมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งกว่า 4,000 ล้านบาทเป็นธุรกิจที่ไม่แข็งแรง

แผนการควบรวมธุรกิจมี 4 แนวทาง คือ 1. รีเทล ช่องทางกระจายสินค้าต้องหาเพิ่มขึ้น 2. มองหาศักยภาพ ด้วยการสร้างศูนย์อาหาร ทำอาหารพร้อมรับรับประทาน 3. การเป็นฐานผลิตในรูปแบบ OEM ให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ และ 4. พันธมิตรในรูปแบบรีเทล ในรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ อย่างกลุ่มสตาร์ทอัพ จากในเครือมีร้านอาหารรวมกว่า 33 สาขา ซึ่งกำลังสนใจที่จะลงทุนใน 3 บริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจอาหาร ทั้งในรูปแบบเทคโอเวอร์และร่วมทุน มูลค่าบริษัทมีตั้งแต่ระดับ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป และบางบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของงบการลงทุน ในช่วง 3-5 ปีขึ้นไป รวมแล้วใช้งบกว่า 10,000 ล้านบาท โดยในการรุกธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มช่วงปี 61-63 นี้ ใช้กว่า 2,500 ล้านบาท และหากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ที่จะต้องทำรายได้ถึง 5,000 ล้านบาท แผนลงทุนในเฟสต่อไปน่าจะไม่ต่ำกว่า 7,000-8,000 ล้านบาท เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจนี้มียอดขายเกิน 10,000 ล้านบาท ในการที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ต่อไป

จากปัจจุบันในกลุ่มบริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ส จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหารอย่างครบวงจร ตั้งแต่ ต้นน้ำและปลายน้ำ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ 1. Food Retails ภายใต้บริษัท เอสคอมพานี จำกัด ดูแลรับผิดชอบด้านธุรกิจร้านอาหาร ประกอบด้วย ร้าน Est.33,Farm Designและร้านอาหารญี่ปุ่น Kitaohji 2. Product &Production ภายใต้บริษัท เฮสโก้ โซลูชั่น จำกัด และบริษัท เฮสโก้ ฟู้ด จำกัด รับผิดชอบโรงงานผลิตสินค้าออกสู่ตลาดในรูปแบบ B2B และB2C กับกลุ่มค้าแบรนด์ต่างๆ เช่น Made by TODD, Minor Food Group, King Power, Sodexo และ ALDI นอกจากนี้ยังมีบริษัท ข้าวพันดี จำกัด จำหน่ายข้าวถึงอยู่ในกลุ่มฟูดแฟกเตอร์ด้วย


ทั้งนี้ยังมี Food Innovation Center ตั้งอยู่จังหวัดปทุมธานี เป็นศูนย์นวัตกรรมการวิจัยและพัฒนาสินค้าด้านอาหาร และอนาคตจะมีโครงการ Food Valley หรือนิคมอุตสาหกรรมอาหารครบวงจรแห่งประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนที่ร่วมมือกันระหว่างสิงห์คอร์เปอเรชั่น, สถาบันอาหาร, เอสเอ็มอีแบงก์ และ สสว.บนพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ในจังหวัดอ่างทอง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงานเพื่อการผลิตอาหารแบบวงจร ทำให้บริษัทจับกลุ่มเป้าหมายได้ในวงกว้าง ครอบคลุมทั้งภาคธุรกิจแบบ B2B เช่น โรงแรม, ร้านอาหาร, ฟูดเซอร์วิสต่างๆ และร้านอาหาร จับกลุ่มเป้าหมาผู้บริโภคโดยตรง รวมถึงต่อยอดเป็นโมเดลแฟรนไชส์เพื่อเพิ่มสปีดการเติบโตได้ในอนาคต

“ทุกอย่างจะเกิดขึ้นภายใน 3 ปีหลังจากนี้ โดยจะต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท จากที่มีอยู่ 450 ล้านบาท จากธุรกิจรีเทลที่มีกำไร 8-15% ที่จะต้องเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน” นายปิติกล่าว

การเข้าร่วมงานเข้าร่วมงาน THAIFEX ครั้งนี้ นำเสนอผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เช่น แบรนด์ Made by TODD นำเสนอเมนูใหม่ๆ ที่ต่อยอดจากธุรกิจร้านอาหารในรูปแบบเรดดี้ทูอีส

“ทิปโก้” ตีโจทย์ทำไมต้องดื่มน้ำผลไม้ กระตุ้นยอดขาย

นายเอกพล พงศ์สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้ ฟู้ดส์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมตลาดน้ำผลไม้มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ค่อนข้างนิ่ง ซึ่งกว่า 4,500 ล้านบาท เป็นกลุ่มน้ำผลไม้ 100% ซึ่งทิปโก้เป็นผู้นำมีส่วนแบ่งอยู่ 30% การที่จะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นต้องเริ่มมองจากปัญหา กับโจทย์ที่ผู้บริโภคยังแยกไม่ออกว่าทำไมจึงต้องดื่มน้ำผลไม้ ดังนั้น ปีนี้บริษัทฯ จะชูเรื่องคุณสมบัติน้ำผลไม้ ประโยชน์จากการดื่มน้ำผลไม้เพื่อกระตุ้นยอดขาย เริ่มจาก น้ำสับปะรดหอมสุวรรณ พร้อมการปรับแพกเกจจิ้งใหม่ในรอบ 10 ปี

ส่วนน้ำแร่ออรา ได้ขยายโรงงานแห่งที่ 2 รองรับกำลังการผลิตได้อีก 4 ปี จากโรงงานแห่งแรกกำลังการผลิตเต็มแล้ว และปรับราคาขึ้นอีก 20% เพราะขนส่งจากเชียงใหม่ ขณะที่กลุ่มธุรกิจรีเทล กับร้านอาหารและร้านสมู้ทตี้จะมีฟอร์เมทใหม่ๆเพิ่มขึ้น จะจับมือกับกลุ่มสตาร์ทอัพมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ คาดว่าปีนี้บริษัทจะเติบโต 15% จากปีก่อนทำได้ 4,500 ล้านบาท แบ่งเป็นน้ำผลไม้ 1.4-1.5 พันล้านบาท อีก 500 ล้านบาทเป็นน้ำแร่ออรา และอีก 1,700 ล้านบาท เป็น สับปะรดกระป๋องส่งออก

สำหรับการเข้าร่วมไทยเฟ็กซ์ครั้งนี้ ทิปโก้ได้นำสินค้าและบริการเข้าร่วมงาน ประกอบด้วย 1. สับปะรดหอมสุวรรณ 2. ธุรกิจด้านโออีเอ็ม สำหรับกลุ่มลูกค้าที่จะผลิต LINE สินค้าใหม่เพื่อสร้างแบรนด์ของตัวเอง และ 3. น้ำแร่ออรา โดยครั้งนี้เป็นการเปิดตัวแพกเกจจิ้งน้ำผลไม้ 100% โฉมใหม่มาพร้อมกับแคมเปญ “เชื่อในสิ่งที่ตัวเองมีดี”

“เฮอริเทจ” ปั้นเครื่องดื่มนมทางเลือก

นายวิทวัส พลไพศาล รองประธานกรรมการ เครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาทิแบรนด์ เฮอริเทจ, บลูไดมอนด์, เนเจอร์ เซ็นเซชั่น, นัทวอร์คเกอร์, ซันคิสท์ เปิดเผยว่า แต่ละปีบริษัทฯ จะพัฒนาสินค้าใหม่หลายสิบรายการ ส่วนใหญ่จะมุ่งส่งออก ส่วนการทำตลาดในไทยนั้นปีนี้จะเน้นหลักในส่วนของเครื่องดื่ม ภายใต้งบการตลาด 100 ล้านบาท หลังจากปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างมากกับนมอัลมอนด์ภายใต้แบรนด์ ซันคิสท์ ซึ่งทำรายได้กว่า 100 ล้านบาท ปีนี้จะมีเครื่องดื่มนมทางเลือกออกใหม่อีก 3 รสชาติ คือ นมพิสตาชิโอ แบรนด์ซันคิสท์ ในช่วง 1 ปีแรกจะมียอดขายไมต่ำกว่า 100 ล้านบาท และช่วงปลายปีจะออกอีก 2 รสชาติ คือ นมแมคคาดีเมีย และนมเม็ดมะม่วงหิมพานต์

ปัจจุบันตลาดนมรวมมีมูลค่าประมาณ 55,000 ล้านบาท แบ่งเป็น นมวัว 50% นมถั่วเหลือง 48-50% และนมทางเลือก 2% ซึ่งนมทางเลือกเติบโตมากสุดมากกว่า 10% จากฐานที่ยังเล็กอยู่ และมีผู้เล่นในตลาดราว 15 แบรนด์ โอกาสการเติบโตยังมีอีกมาก หรือใน 10 ปีน่าจะได้เห็นถึง 5,500 ล้านบาท

นายวิทวัสกล่าวต่อว่า ภาพรวมปีนี้จะลงทุนเครื่องดื่มเป็นหลัก ใช้งบกว่า 100 ล้านบาท เพิ่มเครื่องจักร หลังจากลงทุนไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตกลุ่มเครื่องดื่มนมทางเลือกเป็น 3 เท่า คาดว่าเริ่มได้ในไตรมาสสามปีนี้ จึงทำราคาได้ที่ 20 บาทต่อกล่อง เมื่อเทียบกับการนำเข้าอยู่ที่ 40 บาทต่อกล่อง ปัจจัยราคาจะทำให้นมอัลมอนด์ นมพิตาชิโอ เติบโตไปในทิศทางเดียวกับอเมริกา ที่การบริโภคทั้งประเทศสูงถึง 35%

ล่าสุดได้เปิด ชอปเฮอริเทจ แฟลกชิฟสโตร์ ที่ไอคอนสยาม นำเสนอสินค้าทั้งหมดของบริษัทวางจำหน่าย เนื่องจากที่ผ่านมา ช่องทางจำหน่ายที่เข้าไป มีข้อจำกัดในการสินค้าของบริษัทที่มีความหลากหลายและมีหลายสิบรายการ เฮอริเทจ แฟลกชิฟสโตร์ จะตอบโจทย์เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าที่ต้องการชอปผลิตภัณฑ์ของเฮอริเทจโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันยอดขายกว่า 90% เป็นสแน็ก และ10% เป็นเครื่องดื่ม ที่ปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมโต 30% เทียบกับปีก่อนหรือใน2-3ปีน่าจะทำรายได้ถึง 10,000 ล้านบาท โดยกว่า 60% เป็นการส่งออก และอีก 40% จำหน่ายในประเทศ
ภายในงาน งานไทยเฟ็กซ์ครั้งนี้นำเสนอสินค้านวัตกรรมหลายรายการ เช่น นมพิตาชิโอ แบรนด์ซันคิสท์, อัลมอนด์ บรีซิบาริสต้า เบลนด์ จากแบรนด์บลูไดมอนด์ สำหรับตีฟองนม, ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคถุงทอง

“ไก่เบญจา” รุกตลาด-คว้ารางวัลใหญ่

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ สายธุรกิจการค้าระหว่างประเทศและพัฒนาธุรกิจ ผู้ดูแลผลิตภัณฑ์ เบญจา ชิคเก้น (Benja Chicken) กล่าวว่า จากการเลี้ยงไก่ด้วยข้าวกล้องทำให้ ผลิตภัณฑ์ “เบญจา ชิคเก้น” ภายใต้ แบรนด์ U Farm ได้เป็นหนึ่งใน Top Innovative Product ของมหกรรมแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม THAIFEX- World of Food Asia 2019 นับเป็นครั้งแรกที่สินค้าในกลุ่ม “วัตถุดิบสด” สามารถก้าวเป็นหนึ่งในสุดยอดนวัตกรรมอาหารจากกว่า 700 นวัตกรรมอาหารทุกประเภทจากทั่วโลก รวมทั้งยังได้เป็นผลิตภัณฑ์พรีเมียมที่วางจำหน่ายในเดอะมอลล์ ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต วิลล่า ฟู้ดแลนด์ ริมปิง เชียงใหม่ ที่สำคัญยังเป็นแบรนด์เดียวของอาหารไทยที่ได้รับเลือกให้วางจำหน่ายในห้างดองกิ ทองหล่อ ซูเปอร์มาร์เกตชั้นนำจากญี่ปุ่น

“อิชิตัน” ส่งน้ำนมมะพร้าวสู่ตลาดจีน

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การปรับกลยุทธ์ธุรกิจในการรุกตลาดต่างประเทศทั้งในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) และอินโดนีเซีย ที่ผ่านมามีความก้าวหน้ามากขึ้น ในไตรมาส 1/2019 มีสัดส่วนส่งออกคิดเป็น 32.4% ของรายได้จากการขาย ส่วนในประเทศพัฒนาสินค้าใหม่สม่ำเสมอ

ล่าสุด อิชิตันพัฒนา “อิชิตัน หวัง” ผลิตภัณฑ์น้ำนมมะพร้าวธรรมชาติ เจาะนักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อเตรียมรุกตลาดประเทศจีนโดยเฉพาะ และได้เปิดตัวในงานไทยเฟ็กซ์


ปัจจุบัน อิชิตัน กรีน แฟคทอรี่ เป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 1,400 ล้านขวดต่อปี มีห้องทดลองการผลิต (pilot plant) ที่ช่วยลดต้นทุนการพัฒนาสินค้าต้นแบบให้ลูกค้าได้สูงถึง 80% เมื่อเทียบกับการผลิตจริง ให้บริการแบบ one-stop-service ภายใต้มาตรฐานการผลิตในระดับโลก คาดว่าในส่วนการให้บริการผลิต (OEM) จะสามารถสร้างรายได้ให้กับอิชิตัน กรุ๊ป ถึง 300 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2019

“พรีเชียส ฟู้ด” ส่งครีมเทียมน้ำมันรำข้าว

นายภาณุ มหัทธโนบล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์กลุ่มคนรักสุขภาพ โดยทีม R&D ทำการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ “ดรีมมี่” คือ ครีมเทียมน้ำมันรำข้าว และ ครีมเทียมน้ำมันมะพร้าว หวังเจาะกลุ่มคนรักสุขภาพโดยตรง พร้อมวางจำหน่ายสินค้าช่วงไตรมาสที่ 3

ส่วนผลิตภัณฑ์ “คอฟฟี่ ดรีมมี่” ยังทำการตลาดต่อเนื่อง เตรียมปล่อยภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ 2 เวอร์ชัน ภายใต้สโลแกน “มัน เข้มข้นถึงใจ” เวอร์ชันแรก “Awaken” คอนเซ็ปต์สื่อออกมาทางด้าน Functional ชูความโดดเด่นของตัวสินค้า ส่วนเวอร์ชันที่สอง “5 Senses” คอนเซ็ปท์สื่อออกมาทางด้าน Emotional การสัมผัสของรสชาติความอร่อย ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง5 ซึ่งภาพยนตร์โฆษณาแต่ละเรื่องช่วยสร้างการรับรู้ต่อกลุ่มเป้าหมายโดยเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้กว้างขึ้น พร้อมทุ่มงบด้านการสื่อสารทางการตลาดกว่า 50 ล้านบาท อีกทั้งยังมีแผนจัดโรดโชว์นำเสนอสินค้าในต่างจังหวัดทั่วประเทศ หลังจากปีที่ผ่านมาได้มีการมุ่งสร้างการรับรู้ผ่านช่องทางออนไลน์ รวมทั้งทำกิจกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนขยายโรงงานโดยใช้งบลงทุนอีกกว่า 500 ล้านบาท สำหรับก่อสร้างและซื้อเครื่องจักรเพื่อขยายไลน์ผลิตซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 100% รองรับการขยายตลาดใหม่ไปสู่ AEC ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งมีความต้องการใช้ครีมเทียมเพิ่มมากขึ้น


สำหรับยอดขายครีมเทียมในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวม 1,500 ล้านบาทเติบโตขึ้น 15% แบ่งออกเป็นยอดส่งออก 55% และขายในประเทศ 45% ขณะที่รายได้โดยรวมของบริษัทฯ ในปีนี้จะมียอดขายกว่า 5,000 ล้านบาท” นายภาณุ กล่าว

“if” ส่งน้ำมะพร้าวพลัสสมุนไพรขิง


นายพงศกร พงษ์ศักดิ์ ผู้ก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจนเนอรัล เบฟเวอเรจ จำกัด กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทในตลาดส่งออกยังคงเป็นน้ำมะพร้าว แต่ ’เพิ่ม’ คุณประโยชน์ในการดื่มโดยออกมาเป็น Coconut Plus Series ประกอบไปด้วย น้ำมะพร้าวพลัสชิ้นเนื้อ, น้ำมะพร้าวพลัสคอลาเจน และน้ำมะพร้าวพลัสสมุนไพรขิง
โดยในปีนี้ Key Message หลักของแบรนด์ IF คือ Everyone #drinkif ที่ต้องการเน้นย้ำว่าผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยสามารถดื่ม IF น้ำมะพร้าวแท้ ได้ ซึ่งเราวางตำแหน่ง IF ในใจของผู้บริโภคให้เป็นเหมือนจุดเชื่อมความสัมพันธ์ทุกเจเนอเรชัน ซึ่งได้รับการการันตีจากสถาบันรับรองรสชาติอาหารและเครื่องดื่มนานาชาติ iTQi

ภายในงานไทยเฟ็กซ์ปีนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ DEEP ภายใต้คอนเซ็ปต์ Natural Booster ในรูปแบบของ Shot ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ โดยเน้นสมุนไพรขิงเป็นส่วนประกอบหลัก และมีส่วนประกอบอื่นๆ คือ Ginger with Turmeric สมุนไพรขิงกับขมิ้น, Ginger with Collagen สมุนไพรขิง และคอลาเจน


กำลังโหลดความคิดเห็น