กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เผยยอดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไตรมาสแรกปีนี้ (ม.ค.-มี.ค. 62) โต 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อานิสงส์ท่องเที่ยวไทยคึกคัก ฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรดันใช้พุ่ง โดยเพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มเบนซิน ดีเซล น้ำมันอากาศยานและแอลพีจี ขณะที่การนำเข้าน้ำมันดิบมีมูลค่า 1.84 แสนล้านบาท ลดลง 2.9% จากบาทแข็งค่าเล็กน้อย ขณะที่ PTTOR ยังคงครองแชมป์ยอดจำหน่ายสูงสุด
รายงานข่าวจากกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) แจ้งถึงปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงว่า การใช้หรือการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงไตรมาสแรกของปี 2562 (มกราคม-มีนาคม 2562) มีปริมาณการใช้ทั้งสิ้น 14,651 ล้านลิตร เฉลี่ยวันละ 162.8 ล้านลิตร หรือ 1,024,002 บาร์เรลต่อวัน โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนวันละ 2.8 ล้านลิตร หรือคิดเป็น 1.8% ทั้งนี้ การใช้น้ำมันไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นมาจากปัจจัยหลักได้แก่ การท่องเที่ยวของไทยที่เติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรทำให้เกิดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงโดยรวมปรับเพิ่ม
การใช้น้ำมันฯ ไตรมาสแรกเป็นการเพิ่มขึ้นของกลุ่มน้ำมันเบนซิน กลุ่มน้ำมันอากาศยาน กลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และก๊าซปิโตรเลียมเหลว 3.21%, 2.23%, 1.68% และ 1.58% ตามลำดับ ส่งผลให้ไทยมีการจัดหาด้วยการนำเข้าน้ำมันดิบรวม 14,210 ล้านลิตร เฉลี่ยวันละ 157.9 ล้านลิตร หรือ 993,182 บาร์เรลต่อวัน คิดเป็นมูลค่าการนำเข้ารวม 184,915 ล้านบาท โดยปริมาณเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.2 ล้านลิตร คิดเป็น 1.4% มูลค่าการนำเข้าลดลง 5,437 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 2.9% เนื่องจากได้รับอานิสงส์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหรือการจำหน่ายไตรมาสแรกปีนี้แบ่งเป็น กลุ่มเบนซิน 2,875.89 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.21% แยกเป็นแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 868.63 ล้านลิตร ลดลง 7.07% แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 1,230.61 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 8.18% แก๊สโซฮอล์อี 20 อยู่ที่ 563.95 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 13.71% แก๊สโซฮอล์อี 85 อยู่ที่ 112.90 ล้านลิตรเพิ่มขึ้น 13.97% ฯลฯ
สำหรับน้ำมันกลุ่มอากาศยาน 1,954.80 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 2.23% กลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 6,264.53 ล้านลิตร ปรับเพิ่มขึ้น 1.68% ขณะที่ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) 1,629.44 ล้านกิโลกรัม (กก.) เพิ่มขึ้น 1.58% ขณะที่การใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) อยู่ที่ 515.38 ล้าน กก. ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 11.87% ซึ่งยังคงเป็นการปรับลดต่อเนื่องจากปัจจัยที่ระดับราคาน้ำมันไม่ได้สูงมากนัก ประกอบกับ NGV มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นทำให้ผู้บริโภคไม่นิยมที่จะติดตั้งอุปกรณ์เพื่อใช้ NGV ที่มีต้นทุนสูง
ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดของผู้ค้าน้ำมันไตรมาสแรกปีนี้ กลุ่มผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ 5 ราย ได้แก่ บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (PTTOR), เอสโซ่, บางจาก, เชลล์ และเชฟรอน มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันคิดเป็นประมาณ 78% ขณะที่กลุ่มผู้ค้าน้ำมันรายย่อยนอกเหนือจากผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ดังกล่าวมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันประมาณ 22% โดย ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดคิดเป็น 36.3% รองลงมา ได้แก่ เอสโซ่ 10.7% บางจาก 10.3% เชลล์ 9.4 % และเชฟรอน (ไทย) 6.9% ตามลำดับ