ปูนซิเมนต์ไทยแจงผลดำเนินงานไตรมาส 1/62 กำไรลด 6% เหลือ 1.16 หมื่นล้านบาท เหตุราคาปิโตรเคมีตลาดโลกวูบ 10-20% จ่อทบทวนเป้ายอดขายปีนี้ใหม่จากเดิมตั้งเป้าโต 5-10% หลังแนวโน้มราคาปิโตรเคมีในไตรมาส 2 ลดลงอีก แถมมาร์จิ้นแคบลงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เตรียมบันทึกค่าใช้จ่ายตาม กม.แรงงานจำนวน 2 พันล้านบาทในไตรมาส 2/62
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมทบทวนเป้าหมายยอดขายปีนี้ที่คาดไว้จะเติบโต 5-10% จากปีก่อนที่มียอดขาย 4.78 แสนล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายไตรมาส 1/2562 อยู่ที่ 1.12 แสนล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากราคาปิโตรเคมีได้ปรับตัวลง 10-20% และในไตรมาส 2 นี้ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีก็ยังคงอ่อนตัวลงต่อจากไตรมาส 1 อีก
นอกจากนี้ มาร์จิ้นกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงครึ่งแรกปี 2562 ก็แคบลง เนื่องจากราคาวัตถุดิบ คือแนฟทาปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ไตรมาสแรกปีนี้ ส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติก HDPE กับแนฟทาอยู่ที่ 573 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงจากไตรมาส 4/2561 ที่อยู่ระดับ 639 เหรียญสหรัฐ/ตัน เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่ม และในไตรมาส 2 นี้บริษัทฯ จะบันทึกค่าใช้จ่ายพนักงานตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ประมาณ 2 พันล้านบาท ทำให้กระทบกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2562 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ คิดเป็นสัดส่วนกำไรกึ่งหนึ่งของบริษัทฯ โดยราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลงเป็นไปตามตลาดโลก ดังนั้น สิ่งที่บริษัทฯ ทำได้คือการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยลดต้นทุนให้ต่ำที่สุด รวมทั้งลดการเก็บสินค้าคงคลังให้น้อยที่สุดจากเดิมเก็บอยู่ 3-4 สัปดาห์ก็ลดเหลือ 1-2 สัปดาห์ และเน้นการลงทุนด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
นายรุ่งโรจน์กล่าวต่อไปว่า ความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศช่วงไตรมาส 1 นี้เติบโตขึ้น 2% ส่วนไตรมาส 2 นี้ยังไม่สามารถประเมินความต้องการใช้ปูนได้เนื่องจากมีวันหยุดมาก แต่คาดหวังว่าครึ่งหลังปีนี้จะได้แรงกระตุ้นจากโครงการก่อสร้างภาครัฐเข้ามาดันความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศโตขึ้น
ส่วนความคืบหน้าโครงการลงทุนปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ แห่งที่ 2 ในอินโดนีเซียนั้น ต้องเลื่อนการตัดสินใจลงทุนออกไปเป็นกลางปี 2563 จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ปลายปีนี้ เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปทำให้ต้องมีการทบทวนศึกษาโครงการใหม่
ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2562 บริษัทมีรายได้จากการขาย 1.12 แสนล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5% และมีกำไรสุทธิ 1.16 หมื่นล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานกลุ่มปิโตรเคมีลดลงจากส่วนต่างราคาสินค้าที่ลดลง ขณะที่กลุ่มธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อนสร้าง ธุรกิจแพกเกจจิ้งมีการเติบโตกำไรเพิ่มขึ้น