“เอสโซ่” เดินหน้าหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อร่วมกันทำปั๊มน้ำมันเอสโซ่ เล็งเรียลเอสเตท-คอมมูนิตี้ มอลล์ หลังประสบความสำเร็จจากการร่วมมือกับ “เพียวพลังงานไทย” และ “เบสท์ เอ็นเนอร์ยี่ฯ” ชี้รัฐให้เวลาโรงกลั่นน้ำมัน 4-5 ปี ปรับปรุงเพื่อให้สามารถผลิตน้ำมันยูโร 5 ได้ ยันเอสโซ่พร้อมผลิตได้ทันตามกำหนด
นายมาโนช มั่นจิตจันทรา กรรมการและผู้จัดการตลาดขายปลีก บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือESSO เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังเดินหน้าหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อร่วมกันเปิดสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ เหมือนที่บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท เพียวพลังงานไทย ในการเปลี่ยนสถานีบริการน้ำมันเพียวเป็นสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ จำนวน 49 แห่ง หลังจากนั้นทางเพียวพลังงานไทยได้ร่วมกับบริษัทในการเปิดสถานีบริการน้ำมันภายใต้แบรนด์เอสโซ่เพิ่มขึ้นเป็น 57 แห่งในสิ้นปี 2561 และมีแผนจะเปิดเพิ่มจำนวนสถานีบริการน้ำมันอีกในปีนี้
นอกจากนี้ เอสโซ่ยังได้จับมือกับพันธมิตร คือ บริษัท เบสท์ เอ็นเนอร์ยี่ พลัส ที่เป็นเจ้าของสถานีบริการก๊าซแอลพีจีภายใต้แบรนด์ Best มาเปิดเป็นสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ควบคู่กับการจำหน่ายก๊าซแอลพีจีด้วย ขณะนี้มีการเปิดร่วมกันแล้วราว 13-15แห่ง
“ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างหาพันธมิตรเพื่อร่วมเปิดสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่อยู่ตลอด โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นพันธมิตรแบบไหน อาจจะเป็นเรียลเอสเตทก็ได้หรือผู้ประกอบการทำคอมมูนิตี้มอลล์ ถ้าสนใจทำปั๊มน้ำมันทางเอสโซ่ก็พร้อมที่จะเป็นพันธมิตร “
ทั้งนี้ เอสโซ่มีแผนขยายสถานีบริการน้ำมันในปีนี้เพิ่มอีก 60 แห่งจากปีก่อนที่มีสถานีบริการน้ำมันรวม 608 แห่ง โดยเป็นสถานีบริการต้นแบบขนาดใหญ่ (Flagship Station) 10 แห่ง ทำให้ปีนี้จะมีสถานีบริการแบบ Flagship เพิ่มเป็น 35 แห่งในปีนี้ รวมทั้งจะปรับปรุงสถานีบริการให้มีรูปโฉมใหม่ภายใต้รูปแบบ Synergy ให้ครบทั้งหมดจาก ล่าสุดปรับปรุงไปแล้ว 300 แห่ง โดยจะใช้เงินลงทุนปีนี้ประมาณ 2 พันล้านบาท
นายสุชาติ โพธิ์วัฒนะเสถียร กรรมการและผู้จัดการโรงกลั่น บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบริษัทฯ มีแผนหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 โดยจะใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงให้หน่วยกลั่นต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนในการผลิต อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงประสิทธิภาพของหน่วยกลั่นต่างๆ จะไม่ทำให้สัดส่วนของผลิตภัณท์แตกต่างไปจากเดิมมากนัก
ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนกลั่นน้ำมันให้ได้สูงสุดก่อนปิดซ่อมบำรุงใหญ่เพื่อให้มั่นใจว่ามีผลิตภัณฑ์เพียงพอป้อนลูกค้าในช่วงเวลาหยุดซ่อมซึ่งมีผลต่อกำลังการผลิตในปีนี้ที่จะลดลงตามสัดส่วนจากปีก่อนที่กลั่นอยู่ 1.43 แสนบาร์เรล/วัน
ส่วนการปรับปรุงโรงกลั่นเพื่อรองรับมาตรฐานน้ำมันยูโร 5 นั้น บริษัทฯ ได้ประสานงานกับทางหน่วยงานของภาครัฐ คาดว่าภาครัฐจะให้เวลากับทางโรงกลั่นประมาณ 4-5 ปีในการติดตั้งและปรับปรุงให้สามารถผลิตน้ำมันยูโร 5 ซึ่งทันทีที่ภาครัฐประกาศความชัดเจนบริษัทฯ ก็พร้อมจะผลิตตามมาตรฐานที่กำหนด โดยทางบริษัทได้ทำการศึกษาทางเลือกและการลงทุนในหลายๆ รูปแบบเพื่อให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และยังคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้เป็นอย่างดี
เช่นเดียวกับเกณฑ์ใหม่ของ International Maritime Organization (IMO) ที่กำหนดคุณภาพของน้ำมันเตาที่ใช้ในการเดินเรือ (Bunker fuel) ให้ลดลงจาก 3.5% เหลือ 0.5% ของกำมะถันซึ่งจะเริ่มในต้น ปี 2563 ซึ่งมีการคาดการณ์ของราคาน้ำมันเตาที่มีกำมะถันสูงและต่ำ และน้ำมันเบาที่มีกำมะถันต่ำ โดยนักวิเคราะห์ในหลายรูปแบบ อีกทั้ง ทางบริษัทเดินเรือก็เริ่มมีการติดตั้งอุปกรณ์ (scrubber) บนเรือเพื่อให้มีการจับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์เรือ ทำให้อาจสามารถใช้น้ำมันที่มีกำมะถันสูงได้ ดังนั้นยังคงเร็วไปที่จะคาดการณ์ให้แน่ชัดว่าราคาตลาดของน้ำมันเตาที่มีกำมะถันสูงและต่ำจะเป็นอย่างไร แต่บริษัทฯ ได้มีการศึกษาและดำเนินการให้แน่ใจว่าไม่ว่าราคาตลาดของน้ำมันเตาจะไปในทิศทางใด เรายังสามารถที่จะมีโอกาสทำกำไรสูงสุด รวมถึงการผสมน้ำมันเบาที่มีกำมะถันต่ำเข้ากับน้ำมันเตาเพื่อผลิตน้ำมันเตากำมะถันต่ำ