xs
xsm
sm
md
lg

EPL “ส้มหล่น” หรือ “เผือกร้อน” ศึก 2 ทุนใหญ่ 'ทรูวิชั่นส์-PPTV' ชิงดำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการรายวัน 360 - ฝ่าสนามแข่งฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 'ส้มหล่น' หรือ 'เผือกร้อน' เส้นตายเหลือไม่ถึง 4 เดือน แล้วคนไทยจะได้รับชมผ่านช่องทางใด งานนี้ "PPTV" พร้อมรอเสียบถ่ายทอดสดคู่สำคัญ แต่ขอผ่านไม่ร่วมประมูล ด้าน "ทรูวิชั่นส์" ขอสู้เต็มที่ คนไทยต้องได้ดูพรีเมียร์ลีกทางทรูวิชั่นส์

"พรีเมียร์ลีก" ปี 2562 นี้กลายเป็นเกมพลิก จากที่เฟซบุ๊กได้สิทธิ์จากการประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ปี 2019/2020 -2021/2022 ในประเทศไทย และครอบคลุมอีก 3 ประเทศ คือ ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม แต่เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม 2562 ที่ผ่านมาดีลดังกล่าวกลับไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถตกลงเงื่อนไขร่วมกันได้


ทั้งนี้ หากเฟซบุ๊กยังคงได้สิทธิ์การถ่ายทอดสด 3 ปีหลังจากนี้อยู่ เจ้าของสื่อยักษ์ใหญ่ของไทยถึง 2 ค่าย คือ กลุ่มปราสาททองโอสถ เจ้าของช่อง PPTV36 และกลุ่ม CP เจ้าของทรูวิชั่นส์ พร้อมที่จะเจรจานำพรีเมียร์ลีกมาลงแพลตฟอร์มของตัวเองทั้งคู่ โดยทั้งสองค่ายพร้อมจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์เต็มที่ให้สมศักดิ์ศรี กับความเป็นช่องและแพลตฟอร์มคอนเทนต์ระดับโลกและเวิลด์คลาสทั้งคู่

แต่ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาด อีกทั้งทางพรีเมียร์ลีกต้องเตรียมเปิดขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดใน 4 ประเทศอาเซียนใหม่ภายในระยะเวลาจำกัด เนื่องจากการเจรจาต้องแล้วเสร็จก่อนเปิดฤดูกาล 2019-20 ในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2562 นี้ ซึ่งถึงตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึง 4 เดือน สุดท้ายดีลนี้จะกลายเป็น 'ส้มหล่น' หรือ 'เผือกร้อน' ขึ้นอยู่กับผู้ที่ได้ไปว่าจะจัดการออกมาอย่างไร สุดท้ายจะซ้ำรอย 'CTH' ที่ได้ไปในราคาแพงแล้วขาดทุนย่อยยับจนหายเงียบไปหรือไม่ ศึกครั้งนี้จึงน่าติดตามไม่น้อย

*** PPTV ขอผ่านไม่คุ้มประมูลเอง พร้อมเสียบแมตช์สำคัญดีกว่า
นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารช่อง PPTV เปิดเผยว่า ทางช่องP PTV ยังคงยืนยันในเจตนาเดิมที่พร้อมซื้อสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกให้ผู้ชมได้รับชมอย่างที่ผ่านมา ตามแผนงานของพีพีทีวีที่ชูความเป็น World Class TV and More จากคอนเทนต์กีฬาเวิลด์คลาส ภายใต้งบลงทุนทั้งหมดกว่า 2,000 ล้านบาท ที่จะใช้ซื้อคอนเทนต์ในปีนี้ แน่นอนว่าลิขสิทธิ์ที่จะซื้อพรีเมียร์ลีกก็พร้อมอยู่ในงบก้อนนี้แล้ว

"PPTV ยังคงเจตนาเดิมที่สนใจได้สิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมาออกอากาศทางช่อง PPTV36 แม้ว่าเฟซบุ๊กจะล้มดีลไปแล้วก็ตาม แต่เนื่องจาก PPTV เป็นช่องฟรีทีวี ย่อมไม่สามารถที่จะถ่ายทอดสดได้ครบทั้ง 380 แมตช์ตลอดฤดูกาลได้ จึงไม่มีแผนที่จะเข้าร่วมประมูลเอง แต่มองในลักษณะการเป็นพันธมิตรร่วมถ่ายทอดสดคู่สำคัญในแพลตฟอร์มฟรีทีวีเป็นหลัก" นายสุรินทร์กล่าวยืนยัน


อย่างไรก็ตาม จากเงื่อนไขเรื่องของเวลาที่เหลือน้อยในการทำตลาด จึงคาดเดาได้ยากว่าจะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลครั้งใหม่นี้มากน้อยเพียงใด รวมถึงราคาในการประมูลก็คาดเดาได้ยากเช่นกันว่าจะสูงขึ้นหรือลดลงมากน้อยเพียงใด ซึ่งอย่างน้อยที่สุดเชื่อว่าทรูวิชั่นส์จะเป็นรายหลักๆ ที่เข้าร่วมประมูลใหม่ในครั้งนี้ หากทรูวิชั่นส์ได้ไป ย่อมต้องให้ทางช่องทรู 4U ซึ่งเป็นฟรีทีวีของตนเองได้สิทธิ์ในการร่วมถ่ายทอดสดแมตช์สำคัญด้วยตามเงื่อนไขของทางพรีเมียร์ลีก แต่ทาง PPTV เชื่อว่า ทางช่อง PPTV เองพร้อมที่จะร่วมเป็นพันธมิตรฟรีทีวีถ่ายทอดสดอีกช่องหนึ่งเช่นกัน แต่หากไม่เป็นไปตามนั้นก็ต้องยอมรับความจริง

“ส่วนจะมีแผนสำรองรับมือหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ ขอดูสถานการณ์ก่อน” เป็นคำกล่าวของ นายสุรินทร์

*** ย้อนรอย 20 ปีลิขสิทธิ์ EPL ในไทย

สำหรับความนิยมของคนไทยที่ชื่นชอบในการรับชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษมีมานานนับสิบปี ซึ่งในช่วงแรกสุดคนไทยจะดูพรีเมียร์ลีกผ่านทีวีระบบบอกรับสมาชิก หรือ Pay TV ผ่านทางแพลตฟอร์ม ทรูวิชั่นส์ ซึ่งแรกสุดสามารถรับชมทางช่อง ESPN บ้าง หรือสตาร์สปอร์ตบ้าง หลังจากนั้นทางทรูวิชั่นส์ได้เข้าประมูลสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกเอง และได้ลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007/2008 จนถึง 2012/2013 โดยตลอด 10 ปีที่ผ่านมากลายเป็นว่าทรูวิชั่นส์ผูกขาดลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกแต่เพียงรายเดียวในไทย และถือได้ว่าพรีเมียร์ลีกเป็นคอนเทนต์แม่เหล็กสำคัญที่ทำให้ทรูวิชั่นส์มีฐานสมาชิกที่แข็งแกร่งและเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้ในระดับต้นๆ


โมเดลการสร้างรายได้ของทรูวิชั่นส์จากพรีเมียร์ลีกจึงไปเข้าตา 'CTH' เข้า ในการที่ต้องการเป็น Pay TV ที่แข็งแกร่งพอจะเทียบสู้กับทรูวิชั่นส์ได้ เพียงใช้ระยะเวลาอันน้อยนิดผ่านทางลัด หากยังจำกันได้ครั้งนั้น CTH ใช้กลยุทธ์ด้วยการชิงประมูลพรีเมียร์ลีกไปด้วยเม็ดเงินร่วม 5,000 ล้านบาท สูงจากปกติที่ทรูวิชั่นส์จ่ายไปกว่า 4-5 เท่า ทำให้พรีเมียร์ลีกในช่วงฤดูกาล 2013/2014, 2014/2015 และ 2015/2016 เป็นของบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปต่อเพราะขาดทุนย่อยยับ


ต่อมาในปี 2016/2017- 2018/2019 หรือ 3 ปีล่าสุดที่ผ่านมา ช่องบีอินสปอตส์ได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดไป โดยคนไทยสามารถรับชมช่องดังกล่าวได้ทางทรูวิชั่นส์ หรืออาจกล่าวได้ว่าพรีเมียร์ลีกกลับมาสู่ทรูวิชั่นส์อีกครั้ง ส่วนครั้งต่อไป หรือ 3 ปีหลังจากนี้ทรูวิชั่นส์พร้อมที่จะคว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์มาลงบนแพลตฟอร์มของตัวเองให้ได้อย่างแน่นอน ทั้งในรูปแบบการประมูลเอง หรือผ่านช่องกีฬาที่ได้ลิขสิทธิ์ไป

แหล่งข่าวจากทางทรูวิชั่นส์กล่าวว่า "ทรูวิชั่นส์เข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษทุกครั้ง ซึ่งช่วงหลังมีทั้งได้บ้างไม่ได้บ้าง และครั้งนี้ทรูวิชั่นส์พร้อมที่จะประมูลเช่นเดียวกัน แต่ต้องคุ้มที่จะลงทุนด้วย"


ดังนั้น 3 เดือนจากนี้จึงเป็นเงื่อนไขของการประมูลพรีเมียร์ลีกที่สำคัญที่จะส่งผลต่อราคาที่ประมูล เพราะถือเป็นช่วงเวลาที่สั้น ไม่เพียงพอต่อการทำการตลาด รวมถึงการหาสปอนเซอร์หรือขายสมาชิก
สุดท้ายพรีเมียร์ลีกจะกลายเป็น 'ส้มหล่น' หรือ 'เผือกร้อน' ในกำมือใคร และคนไทยจะได้ชมผ่านช่องทางใดนั้น ผู้ที่ได้ไปคือผู้ตัดสิน ภายใต้การบริหารจัดการที่ต้องเจนสนามพอตัว


กำลังโหลดความคิดเห็น