“เฮียฮ้อ” สวมบทเจ้าพ่อค้าปลีกเต็มตัว 29 มี.คนี้ “อาร์เอส” เข้าสู่ธุรกิจพาณิชย์และค้าปลีกอย่างสมบูรณ์แบบ เป้า 3 ปีโกย 10,000 ล้าน จากปีนี้ทะลุ 5,000 ล้านบาท ก้าวต่อไปเตรียมลุยต่างประเทศ หลังดูงานผ่านอาลีบาบาปีนี้
นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้า ที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จาก 30 กว่าปีที่อยู่ในธุรกิจเพลง ล่าสุดในวันที่ 29 มีนาคมนี้ อาร์เอสจะเข้าสู่ธุรกิจพาณิชย์และค้าปลีกอย่างสมบูรณ์แบบ ถือเป็นธุรกิจที่ท้าทายที่วางแผนการทำงานเชิงรุกตลอด 3 ปีจากนี้ ที่จะต้องเติบโตทางแนวตั้งและแนวนอน หรือต้องมีรายได้ 10,000 ล้านบาท ในปี 2565 หรือโตเฉลี่ย 30% ทุกปี
โดยปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ที่ 5,000 ล้านบาท โตขึ้น 30% จากปีที่ผ่านมา มาจาก 1. ธุรกิจพานิชย์และค้าปลีก หรือ MPC 60% หรือ 3,000 ล้านบาทโตขึ้น 41% 2. สื่อ/โฆษณา 1,000 ล้านบาท โตขึ้น 20% และ 3. เพลง/อื่นๆ อีก 500 ล้านบาท โตขึ้น 10%
“หลังจากนี้รายได้หลักของอาร์เอสจะมาจากธุรกิจ MPC ส่วนสื่อจะเป็นธุรกิจรอง และเพลงจะเป็นธุรกิจสนับสนุนที่สำคัญ ทำให้ภาพการทำธุรกิจของอาร์เอสไม่ใช่โฮมชอปปิ้งอย่างที่เข้าใจกัน มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ขณะที่ภาพรวมธุรกิจโฮมชอปปิ้งทั่วโลกถือเป็นช่วงขาลงด้วยในขณะนี้ แต่สำหรับ MPC ถือเป็นธุรกิจที่มีอนาคต”
นายสุรชัยกล่าวต่อว่า แผนการดำเนินงานจากนี้จะให้ความสำคัญกับธุรกิจ MPC มากขึ้น เน้นขยายโครงสร้างให้แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น 1. ขยายช่องทางขายการขยายแพลตฟอร์มการจำหน่ายสินค้า ประกอบด้วย ช่อง 8, call1781, ช่องไทยรัฐทีวี T Shopping 0-2117-3232, ช่อง 2, ช่องสบายดีทีวี เลข 141, ช่องเพลินทีวี และวิทยุคูลฟาเรนไฮต์เข้าถึงผู้ชมมากกว่า 20 ล้านคน, www.shop1781.com, LINE@shop1781, LINE@COOLanything รวมถึงผ่าน LifestarBIZ หรือตัวแทนขายตรง และห้างค้าปลีก Modern Trade และร้านค้าปลีกทั่วประเทศ
2. การเพิ่มความหลากหลายให้สินค้าและบริการเป็นโดยพัฒนาออกสินค้าและบริการใหม่กว่า 200 SKU จากปัจจุบันแบ่งเป็นกลุ่มสินค้าสุขภาพและความงาม 80% ได้แก่ กลุ่มสกินแคร์ภายใต้แบรนด์มาจีค (Magique), กลุ่มแฮร์แคร์ภายใต้แบรนด์รีไวฟ์ (Revive) และกลุ่มอาหารเสริมภายใต้แบรนด์ S.O.M ตามด้วยกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ภายในบ้านและไลฟ์สไตล์ 15% และกลุ่มเครื่องประดับและความเชื่อ และอื่นๆ 5% และ3.เพิ่มจำนวน Telesales และทีม ไลฟ์สตาร์ บิส และการบริหารฐานข้อมูล BigData ขนาดใหญ่จาก 1.2 ล้าน เพิ่มเป็น 1.8 ล้านรายให้มีประสิทธิภาพนำมาวิเคราะห์ในเชิงลึกเพื่อพัฒนาและนำเสนอสินค้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า และสร้างให้เกิดการซื้อซ้ำต่อไปในอนาคต
“3 ปีนี้บริษัทฯ จะมีการลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของบุคลากร ทีมขาย ซิสเต็ม ซึ่งใช้เงินลงทุนไม่สูง ที่สำคัญมุ่งเพิ่มพันธมิตรทั้งช่องทางทีวีดิจิทัลที่กำลังพูดคุยอยู่อีกหลายช่อง โรงงานผลิตที่จะมีการลงทุนร่วมกันในอนาคต พร้อมโออีเอ็มให้รายอื่น รวมถึงการรุกตลาดต่างประเทศที่เริ่มศึกษาความเป็นไปได้อยู่ จากที่ได้ไปดูงานกับทางอาลีบาบา และเจดีดอตคอม เมื่อเร็วๆ นี้”
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ธุรกิจพาณิชย์และค้าปลีกในประเทศไทย มูลค่ากว่า 2.5 ล้านล้านบาท มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวอีกครั้ง หลังมีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ ขณะที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น สอดรับกับการเติบโตของธุรกิจพาณิชย์หลายช่องทาง (MPC) ของบริษัท ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจใหม่ ที่เข้ามาตอบโจทย์กับพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคในยุค 4.0
“สำหรับสถานการณ์หลังการเลือกตั้งในมุมมองของนักธุรกิจ ต้องการเห็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เดินไปข้างหน้าต่อได้ ลืมอดีต มองไปข้างหน้าเป็นหลัก โดยเชื่อว่าช่วงปลายปีนี้เศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น” นายสุรชัยกล่าวสรุป