xs
xsm
sm
md
lg

“แกรมมี่มิวสิค” ชู 5 กลยุทธ์ลุยปี 62 รับ 4,000 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เจาะลึกความสำเร็จ 'แกรมมี่มิวสิค' บุกหนักดิจิทัลฝ่ามรสุมโต 22% สวนกระแสตลาดเพลงโลกที่โตเพียง 8% โวรั้งบัลลังภ์บนยูทูปและ JOOX หลายรายการ ปั่นต่อปีนี้ด้วย 5 ยุทธศาสตร์ มั่นใจโตอีกไม่ต่ำกว่า 10% ทะลุแน่ 4,000 ล้านบาท

นายภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังการเข้ามาของการสตรีมมิ่งและออนไลน์แพลตฟอร์ม ธุรกิจเพลงได้รับผลกระทบหนักเหมือนกันทั่วโลก แต่สำหรับจีเอ็มเอ็ม มิวสิค กลับสามารถปรับตัวเข้ากับโลกดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่าจะเป็นการยืนหยัดสู้กับ Disruption ได้อย่างมั่นคงที่สุด ส่งผลให้ในปี 2561 ที่ผ่านมา จีเอ็มเอ็ม มิวสิคมีผลงานรายรับรวมเติบโตเฉลี่ยที่ 22% ซึ่งเติบโตกว่าตลาดเพลงโลกที่มีค่าการเติบโตที่ 8.1%

ส่งผลให้ปี 2562 จีเอ็มเอ็ม มิวสิคได้ตั้งเป้าการเติบโตของรายรับไม่ต่ำกว่า 2 หลัก หรืออย่างน้อย 10% หรือมีรายได้มากกว่า 4,000 ล้านบาท ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ระยะยาวเน้นกลยุทธ์สำคัญ 5 ส่วนเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ได้แก่ 1. Hit Song คือการสร้างเพลงใหม่มากกว่า 500 เพลงของศิลปินให้กลายเป็นเพลงฮิตเพื่อสร้างรายได้ในช่องทาง Digital Platform งานจ้าง และสปอนเซอร์ชิป

2. Original Content คือการสร้างคอนเทนต์ที่พิเศษและ Exclusive ครอบคลุมแนวเพลงทุกประเภททั้งป็อป ร็อก ลูกทุ่ง อินดี้ เพื่อนำไปสร้างสรรค์และต่อยอดในธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มของพันธมิตรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น LINE TV, AIS, JOOX รวมถึงการ Collaboration กับศิลปินอื่นๆ ทั้งในและนอกค่าย ซึ่งจะทำให้เพลงและตัวศิลปินสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญยังช่วยทำให้มิติของเพลงและศิลปินมีความกว้างขึ้น สดใหม่ขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังผนวกกับกิจกรรมสุดพิเศษทั่วทั้งประเทศให้เพลงและแพลตฟอร์มกลายเป็น Total Music Experience

3. Showbiz & Merchandising คือยุทธศาสตร์ที่จะเดินหน้าขยายธุรกิจ Showbiz ไม่ว่าจะเป็น มิวสิก เฟสติวัล และคอนเสิร์ตรูปแบบต่างๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นในทุกรูปแบบครอบคลุมทุก Segment ทุก Scale เพื่อเป็นการตอบสนองความนิยมของผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้น ยังรวมถึงจะมีการผลิต Merchandising ให้โดนใจผู้บริโภค ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ให้ความสำคัญมากขึ้นอีกเช่นกัน 4. Right Management คือการทำธุรกิจด้านลิขสิทธิ์ ในรูปแบบการ Service กับธุรกิจต่างๆ โดยมีเป้าหมายที่จะคืนรายได้กลับสู่คนเบื้องหลังและเบื้องหน้า จีเอ็มเอ็ม มิวสิคจึงได้จับมือร่วมกับ Platform Facebook ในเรื่องสิทธิ์การใช้เพลงบนแพลตฟอร์ม เพื่อสนับสนุนให้ User ใช้เพลงในการประกอบคอนเทนต์ของ User ได้เองอย่างถูกลิขสิทธิ์

และ 5. Online Content เดินหน้ารุกตลาดออนไลน์คอนเทนต์เต็มตัว เพื่อขยายฐานลูกค้าและสามารถตอบโจทย์ Online Consumer ได้มากขึ้น โดยการนำจุดแข็งคือการเป็น Music Aggregator ที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทย บวกกับ Asset ที่มีอยู่มากที่สุดทั้งศิลปิน เพลงฮิต ผ่านการนำ DNA ของศิลปินไปสร้างสรรค์และต่อยอดในดิจิทัลแพลตฟอร์มพันธมิตรต่างๆ รวมถึงการเปิด Unit ใหม่ “ซน” Online Creator Hub ที่มีจุดยืนในตลาดชัดเจนว่าเป็น Hub ของคนรุ่นใหม่ ที่คิดและสร้างสรรค์ออนไลน์คอนเทนต์ของศิลปินครบทุก Segment ทั้งในและนอกค่าย

"จีเอ็มเอ็ม มิวสิค มีความเชื่อมั่นว่าการเติบโตที่ยั่งยืนคือหัวใจที่สำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจในตอนนี้ เราให้ความสำคัญในคุณค่าของศิลปิน ทีมงานทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง พนักงานทุกคนที่จะอยู่ในวิชาชีพที่มีแรงบันดาลใจและมีความมั่นคงในธุรกิจ ทั้งนี้ เรายึดหลักของความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน ฉะนั้น เราจึงพยายามจับมือกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ค่ายนอก Promotor Platform คู่ค้าทางธุรกิจ หรือ Brand สินค้าต่างๆ เพื่อที่จะมุ่งมั่นทำให้อุตสาหกรรมเพลงเติบโตได้อย่างแข็งแรง ต่อเนื่องและยั่งยืน"

นายภาวิตกล่าวต่อว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา จีเอ็มเอ็ม มิวสิคสร้างรายรับรวมเป็นเงิน 3,738 ล้านบาท โตขึ้น 22% จากปี 2560 ทำได้ 3,061 ล้านบาท เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจ Digital 37% ซึ่งถ้าเจาะลึกเป็นธุรกิจ Digital Platform โตสูงถึง 83% ตามมาด้วยธุรกิจ Showbiz โตสูงถึง 113% ธุรกิจลิขสิทธิ์ โต 19% ธุรกิจบริหารศิลปินและงานจ้างโต 10% และธุรกิจโรงเรียนดนตรีโต 12% ซึ่ง 3 ธุรกิจใหญ่สุดของจีเอ็มเอ็ม มิวสิค คือ ธุรกิจงานจ้างและสปอนเซอร์ชิปมีสัดส่วนรายได้ที่ 40% ธุรกิจ Digital 25% และธุรกิจ Showbiz 15%

อย่างไรก็ตาม พบว่าการทำคอนเทนต์ผ่านผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างๆ ยังเติบโตขึ้นด้วย โดยปัจจุบันกลุ่ม VDO Content ในช่องทาง Youtube นั้น จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ครองอันดับ 1 ของมิวสิคแชนเนลที่มียอดวิวกว่า 14,973 ล้านวิว โต 29% และมีผู้ติดตามมากกว่า 53 ล้าน Subscribers โตขึ้น 88% ยอด Watch Time ใน Youtube โตขึ้น65,000 ล้านนาที หรือ 37%

ความสำเร็จในยูทูปมาจาก 1. Grammy Gold Official เป็นมิวสิกแชนเนลที่มี Views และ Subscribers โตมากสุดในตลาด โดยมียอดวิวเติบโตที่ 78% และมีจำนวนผู้ติดตามเติบโตที่ 93%
2. GMM Grammy Official เป็นมิวสิกแชนเนลที่มี Views และ Subscribers รวมมากที่สุดในช่องทางเพลง มียอดวิวรวมกว่า 13,000 ล้านวิว และมี Watch Time รวมสูงสุดถึง 52,000 ล้านนาที 3. จีเอ็มเอ็ม มิวสิค มีวิดีโอคอนเทนต์ที่ได้วิวเกิน 100 ล้านวิวมากที่สุดบน Youtube ประเทศไทย ถึง 51 วิดีโอคอนเทนต์

4. เพลง รำคาญกะบอกกันเด้อ ของศิลปิน ลำเพลิน วงศกร จากแกรมมี่ โกลด์ ทำลายสถิติการเข้าถึง 100 ล้านวิวได้เร็วที่สุดเพียง 41 วัน 5. มิวสิกแชนเนลของค่ายเพลงป็อปและร็อก มียอดวิวรวมเติบโตมากที่สุดถึง 5,432 ล้านวิว โตขึ้นเฉลี่ยที่ 10% และมีผู้ติดตามรวมกันมากกว่า 29 ล้านคน โตขึ้นเฉลี่ยที่ 35% 6. มิวสิกแชนเนลของ genierock เป็นแชนเนลที่มีมิวสิกวิดีโอเพลงเกิน 100 ล้านวิว เยอะที่สุดในประเทศไทย รวม 22 มิวสิกวิดีโอ 7. มิวสิกวิดีโอเพลงเชือกวิเศษ ศิลปินลาบานูน เป็นวิดีโอคอนเทนต์ที่มียอดวิวเกิน 400 ล้านวิว เป็นเพลงแรกในประเทศไทย

8. Grammy Gold Official เป็นมิวสิกแชนเนลเพลงลูกทุ่งที่มีวิดีโอคอนเทนต์ 100 ล้านวิว มากที่สุด และยังเป็นแชนเนลที่มีวิดีโอคอนเทนต์ที่ได้ 100 ล้านวิว เยอะที่สุดในปี 2561 ที่ผ่านมา 9. Youtube Channel ของสนามหลวงมิวสิก เป็นอินดี้มิวสิกแชนเนล ที่มียอดวิวสูงถึง 123 ล้านวิว โต 39% และมีจำนวนผู้ติดตามโตขึ้น 71%

นอกจากนี้ ในกลุ่มออดิโอคอนเทนต์ หลังจับมือกับ JOOX ปีที่ผ่านมามีเพลงฮิตได้เข้าไปติดอันดับชาร์ตเพลงของ JOOX ไม่ว่าจะเป็น 1. จีเอ็มเอ็ม มิวสิค เป็นค่ายเพลงที่มีเพลงฮิตติด JOOX Chart มากที่สุด ในส่วนของ Thailand Top 100 มีทั้งหมด 98 เพลง จาก 42 ศิลปิน และในด้านของเพลงลูกทุ่งกับ Top 100 เพลงลูกทุ่ง มีทั้งหมด 104 เพลง จาก 26 ศิลปิน 2. เพลง Good Morning Teacher ของศิลปิน อะตอม ชนกันต์ ติด JOOX Thailand Top 100 ยาวนานที่สุดถึง 51 สัปดาห์ 3. เพลง รำคาญกะบอกกันเด้อ ของศิลปิน ลำเพลิน วงศกร ติด Chart อันดับ 1 ของ JOOX Top 100 ลูกทุ่ง มากที่สุดที่ 9 สัปดาห์ และ 4. ไผ่ พงศธร มีเพลงติด Chart ของ JOOX Top 100 ลูกทุ่ง มากที่สุด 14 เพลง
กำลังโหลดความคิดเห็น