ผู้จัดการรายวัน 360 - “สิงห์” เปิดแผนรุกสาหร่าย ดัน “มาชิตะ” สยายปีกคนจีนเต็มที่ แต่งตั้งเอเยนต์ในกว่างโจว ชู “นน ชานน” พรีเซ็นเตอร์คนไทยที่จีนโดยเฉพาะ ส่วนในไทยปรับแพกเกจจิ้งเหมาะกับการซื้อและหิ้วเป็นของฝากกลับจีน เน้นช่องทางท่องเที่ยว พร้อมเปิดตัว พัคจีฮุน ศิลปินดังเกาหลีเป็นพรีเซ็นเตอร์ในไทย ปรับสูตรไม่มีผงชูรส ดันเป้าแชร์ 20% ปีนี้
นายธิติพร ธรรมาภิมุขกุล ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาด ธุรกิจนอนแอลกอฮอลล์ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยถึงแผนธุรกิจของสาหร่าย “มาชิตะ” ว่า ในปี 2562 นี้บริษัทฯ มีแผนที่จะบุกตลาดคนจีนมากขึ้นทั้งในแง่ของการขยายตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเที่ยวเมืองไทย และการรุกเข้าสู่ตลาดประเทศจีนด้วยการส่งออกโดยตรงอย่างเต็มที่ในปี 2562 นี้ หลังจากที่ผ่านมาได้เริ่มทำตลาดมาระยะหนึ่งแล้วและได้รับการตอบรับดี
โดยการรุกตลาดจีนได้มีการแต่งตั้งเอเยนต์แล้ว 1 ราย เน้นที่กว่างโจวก่อนเพราะเป็นพื้นที่ใหญ่ ซึ่งจะมีการทำตลาดและการส่งเสริมการขายและออกสินค้าใหม่และการสร้างแบรนด์ต่อเนื่องในทุกช่องทางทั้งโมเดิร์นเทรดและเทรดิชันนัลเทรดและออนไลน์ด้วยซึ่งเป็นช่องทางที่ใหญ่ที่สุด โดยการแต่งตั้ง “นน ชานน” ดาราดังจากเรื่อง ฉลาดเกมส์โกง เป็นพรีเซ็นเตอร์ในจีนโดยเฉพาะเมื่อต้นปีนี้ เพราะเป็นนักแสดงไทยที่เป็นที่รู้จักในจีนอย่างมาก โดยจะเป็นการนำสินค้าจากไทยส่งออกไปจำหน่าย ก่อนที่จะขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไปในอนาคต เราเพิ่งเริ่มไม่นาน ขณะที่คู่แข่งที่เป็นแบรนด์คนไทยไปทำตลาดจีนไว้นานแล้ว
ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของมาชิตะในขณะนี้ ด้วยรายได้มากกว่า 30 กว่าล้านบาทเมื่อปีที่แล้วจากรายได้รวมในต่างประเทศทั้งหมดที่มีประมาณ 40 ล้านบาท ตลาดอื่นๆ เช่น พม่า มาเลเซีย เป็นต้น
ส่วนตลาดนักท่องเที่ยวจีนในไทยนั้นมีการทำตลาดหลายอย่าง เช่น การปรับแพกเกจจิ้งให้มีหูหิ้วแพกใหญ่ให้เหมาะสมสำหรับชาวจีนเมื่อซื้อกลับประเทศ การเน้นวางขายในช่องทางแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก เช่น คิงเพาเวอร์ ร้านสยามเจมส์ เป็นต้น รสที่คนจีนนิยมคือ รสออริจินัล
ต้องยอมรับว่าตลาดรวมสแน็กสาหร่ายในไทยนั้นยอดขายมาจากนักท่องเที่ยวจีนมากถึง 30% จากมูลค่าตลาดรวม 3 พันกว่าล้านบาท ซึ่งถือเป็นกลุ่มตลาดที่ใหญ่และน่าสนใจมาก เพราะยอดขายของมาชิตะก็มาจากนักท่องเที่ยวจีนมากถึง 20%” นายธิติพรกล่าว
นายธิติพรกล่าวถึงภาพรวมตลาดสแน็กสาหร่ายในไทยว่า ตลาดรวมสาหร่ายปี 2561 มีมูลค่าประมาณ 3,031 ล้านบาท เติบโต 5% เมื่อแบ่งเป็นเซกเมนต์ สาหร่ายทอดเป็นตลาดใหญ่สุดมูลค่า 1,932 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 63.7% เติบโต 2% กลุ่มสาหร่ายอบ 691 ล้านบาท สัดส่วน 22.8% เติบโต 3% กลุ่มสาหร่ายย่าง 386 ล้านบาท สัดส่วน 12.7% เติบโต 24.6% และกลุ่มสาหร่ายเทมปุระ 21 ล้านบาท สัดส่วน 0.7% เติบโต 134%
สำหรับผู้เล่นรายหลักประกอบด้วย แบรนด์เถ้าแก่น้อย เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งถึง 66.9% รองลงมาคือ มาชิตะ ส่วนแบ่ง 16.7% และอันดับที่ 3 คือ ซิลิโกะ ส่วนแบ่ง 3% ที่เหลือเป็นรายย่อย
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 เดือนแรกปี 2562 นี้ตลาดรวมสาหร่ายโต 5% ขณะที่แบรนด์มาชิตะเดือนมกราคม โต 10% ส่วนกุมภาพันธ์ยังไม่สรุป
นายธิติพรกล่าวว่า แนวทางการทำตลาดผลิตภัณฑ์สาหร่ายมาชิตะในปี 2562 ได้ให้ความสำคัญต่อกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ ออกสินค้าใหม่ ปรับสูตรการผลิตของผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตลาดมีความตื่นเต้น และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรนด์การรักสุขภาพยังคงมาแรงและขยายตัวมากขึ้น
ล่าสุด มาชิตะ ถือเป็นแบรนด์เดียวในตลาดสาหร่ายที่ทุกสินค้าเป็นสูตร 0% ผงชูรส (Monosodium Glutamate) และมาชิตะเป็นสาหร่ายไทยแบรนด์แรกที่ได้รับรางวัลการันตีความอร่อยระดับสากลจากสถาบันรับรองด้านรสชาติและคุณภาพอาหารนานาชาติ ITQI
บริษัทยังใช้งบประมาณมากกว่า 50 ล้านบาทจัดกิจกรรมการตลาด มีแคมเปญต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น เช่น การจัดกิจกรรมบนโลกออนไลน์ทายพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ กระตุ้นให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์ เปิดให้กลุ่มเป้าหมายแฟนคลับได้เข้ามาร่วมกิจกรรมกับแบรนด์และพรีเซ็นเตอร์คนใหม่อย่างใกล้ชิด และสื่อสารการตลาดสร้างการรับรู้สินค้าสูตรใหม่แบบไม่มีผงชูรสผ่านสื่ออย่างครบวงจรทั้ง Above the Line และ Below the Line และเรายังทำการปรับบรรจุภัณฑ์ (แพกเกจจิ้ง) สินค้าใหม่ทั้งหมดให้มีความโดดเด่น สะดุดตา สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
“ในยุคที่ผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์ พฤติกรรมการใช้ชีวิต บริโภคสินค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้แบรนด์ต้องจับเทรนด์ให้ทันเพื่อตอบสนองความต้องการกลุ่มเป้าหมาย และปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้บริโภคยุคนี้ให้ความสำคัญและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น มาชิตะจึงปรับสูตรสาหร่ายใหม่เป็นแบบไม่มีผงชูรสเข้าทำตลาด แต่เท่านั้นไม่พอ เรายังเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ ซึ่งเป็นศิลปินไอดอลจากเกาหลี พัคจีฮุน เพราะมาชิตะถือเป็นแบรนด์สาหร่ายรายแรกที่ใช้พรีเซ็นเตอร์เค-ป็อป มาช่วยสร้างแบรนด์เพื่อสะท้อนภาพการเจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นที่โดดเด่นมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง”
มาชิตะเป็นสาหร่ายรายแรกของไทยที่มีศิลปิน K-POP จากเกาหลีมาใช้เป็นกลยุทธ์การทำตลาด เริ่มจาก “คยูฮยอน” ศิลปินจากค่ายเอสเอ็ม เอนเตอร์เทนเมนต์ มาจนถึง 5 หนุ่มจาก “NCT” บอยแบนด์ดาวรุ่งอันดับ 1 ของค่ายเดียวกัน ปีนี้มาชิตะตอกย้ำกลยุทธ์ใช้ศิลปิน K-POP บริษัทได้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ “พัคจีฮุน” (Park Jihoon) อดีตสมาชิกบอยแบนด์ “วอนนาวัน” (WANNA ONE) ศิลปินไอดอลดัง K-POP เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายหลักวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี กลยุทธ์ดังกล่าวส่งผลให้แบรนด์มาชิตะมีการเติบโตหลายด้าน ที่สำคัญยังเป็นการตอกย้ำภาพผู้นำของมาชิตะในการใช้ศิลปินเกาหลีเป็นพรีเซ็นเตอร์ และช่วยสร้างการรับรู้ สร้างแบรนด์เอนเกจเมนต์กับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในหมู่วัยรุ่นได้เป็นอย่างดี รวมถึงผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับมาชิตะแบบไม่มีผงชูรสจะทำตลาดผ่านช่องทางจำหน่ายร้านค้าทั่วไป (Traditional trade) และห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern trade) ปัจจุบันสินค้าที่จำหน่ายอยู่ ประกอบด้วย สาหร่ายทอด 5 รสชาติ ได้แก่ รสออริจินัล รสสไปซี่ รสสไปซี่บาร์บีคิวเกาหลี รสลาบ รสต้มยำ มี 5 ขนาด ได้แก่ 3.6 กรัม ราคา 5 บาท, 12 กรัม 20 บาท, 30 กรัม 39 บาท, 42 กรัม 49 บาท และ 61.2 กรัม ราคา 79 บาท ส่วนประเภทอบสไตล์เกาหลีมี 3 รสชาติ ได้แก่ รสออริจินัล รสสไปซี่ และรสต้มยำมี 2 ขนาด คือ 5 กรัม ราคา 15 บาท และ 15 กรัม ราคา 39 บาท
จากแผนการตลาดนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายมาชิตะจะมีการเติบโตปี 2562 นี้ประมาณ 20% หรือมีรายได้รวมประมาณ 1,000 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มียอดขาย 600 ล้านบาท โดยปีนี้คาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 20% และรายได้จากต่างประเทศคาดว่าจะเป็น 100 ล้านบาท