ระบบตั๋วร่วมแมงมุมสุดอืด ติง รฟม.ไม่เป็นธรรมเอื้อประโยชน์กรุงไทยสงสัยมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ แนะ รฟม.จ้างพัฒนาระบบเอง สร้างมาตรฐานกลาง ดึงทุกแบงก์เข้าร่วมบนฐานเดียวกัน ใช้เงินและเวลาน้อยกว่า
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าระบบตั๋วร่วมว่า ขณะนี้ธนาคารกรุงไทยอยู่ระหว่างพูดคุยกับสถาบันการเงิน ธนาคารต่างๆ ในด้านการเงินเพื่อเข้าร่วมโครงการ โดยจะมีการพัฒนาระบบจากแมงมุม เวอร์ชัน 2.5 ซึ่งเป็นระบบปิด (Closed Loop) เป็นแมงมุม 4.0 ซึ่งเป็นระบบเปิด (Open Loop) เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้งานผ่านบัตร EMV (Euro/ Master/ Visa Card) ซึ่งกระทรวงคมนาคมกำหนดเป้าหมายให้เปิดใช้ในเดือน ธ.ค. 2562
ในส่วนของผู้ประกอบการแต่ละรายจะต้องปรับปรุงระบบจากเวอร์ชัน 2.5 ให้รองรับระบบ 4.0 ซึ่งรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ฉลองรัชธรรม (ช่วงเตาปูน-บางใหญ่) รฟม.จะดำเนินการเอง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนปรับปรุงหัวอ่านทั้ง 17 สถานีประมาณ 50 ล้านบาท ส่วนรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน เฉลิมมหานคร (ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ-ท่าพระ-หลักสอง) ซึ่งเป็นสัญญาร่วมทุน PPP Net Cost บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM จะเป็นผู้ดำเนินการปรับปรุงทั้งหมด 38 สถานี คาดว่าจะลงทุนกว่า 100 ล้านบาท
สำหรับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์นั้น ได้ดำเนินการปรับแผนติดตั้งหัวอ่าน พัฒนาซอฟต์แวร์ระบบตั๋วร่วม จากเวอร์ชัน 2.5 เป็น 4.0 ส่วนรถไฟฟ้าบีทีเอสนั้น จากการเจรจาที่ผ่านมาบีทีเอสยังปฏิเสธที่จะเข้าร่วม แต่ระบบที่รับบัตร EMV เป็นระบบเปิดซึ่งบีทีเอสสามารถพัฒนาและเข้าร่วมได้ ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าการพัฒนาระบบตั๋วร่วมของรัฐเป็นภาคสมัครใจ ไม่ได้บังคับ ซึ่งบีทีเอสอยู่ภายใต้การกำกับสัญญาของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ไม่ได้ขึ้นตรงต่อกระทรวงคมนาคม
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า มีแนวโน้มสูงที่จะไม่สามารถพัฒนาระบบแมงมุม 4.0 ให้ใช้ได้ทันเดือน ธ.ค. 2562 โดยหลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบหมายให้ รฟม.รับโอนหน้าที่ในการดำเนินการระบบตั๋วร่วมจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.). ซึ่งต่อมาคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.ได้มีมติให้ธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาระบบโดยจะมีการเซ็นสัญญาว่าจ้างเป็นเงินกว่า 800 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ถูกตั้งคำถามว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และเป็นการดำเนินการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่าง รฟม. กับกรุงไทยหรือไม่ เนื่องจาก รฟม.ควรเป็นผู้ดำเนินการเอง โดยสามารถว่าจ้างผู้พัฒนาระบบหลังบ้านโดยตรง และให้ธนาคารทุกแห่งเข้ามารวมบนฐานเดียวกันซึ่งการจ้างเองนอกจากใช้เงินน้อยกว่าแล้วยังใช้เวลาสั้นกว่าอีกด้วย เพราะสามารถอัปเกรดระบบแมงมุม 2.5 ที่ รฟม.มีอยู่ในขณะนี้ไปเป็น 4.0 ได้เลย และมีเคลียริ่งเฮาส์ของระบบที่สายสีม่วงแห่งเดียว ขณะที่ให้กรุงไทยพัฒนาจะทำให้มีเคลียริ่งเฮาส์ทั้งที่สีม่วงของ รฟม.และที่กรุงไทย โดยหากเซ็นสัญญาจ้างกรุงไทยแล้วต้องใช้เวลาอีกประมาณ 18 เดือน เนื่องจากกรุงไทยจะต้องไปจ้างผู้พัฒนาระบบต่อเช่นกัน ใช้เวลาอย่างน้อย 5 เดือน จากนั้นเป็นการปรับปรุงระบบ 8 เดือน และทดสอบอีก 3-5 เดือน
นอกจากนี้ อัตราค่าธรรมเนียมการใช้บัตรระบบตั๋วร่วมต่อ 1 ธุรกรรม ซึ่งคิดจากยอดค่าโดยสารร่วม โดยคิดอัตราค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียวที่ 0.8% รายได้นี้จะแบ่งให้ธนาคารเจ้าของบัตรที่ผู้โดยสารใช้อัตรา 0.3% และอีกส่วนเป็นของกรุงไทยในฐานะผู้พัฒนาระบบหลังบ้านได้อัตรา 0.38% ส่วน รฟม.ได้ 0.12% ซึ่งหากผู้โดยสารใช้บัตรของกรุงไทย เท่ากับกรุงไทยจะได้ถึง 0.68%
“ตอนนี้ตั๋วร่วมยังมีปัญหา เพราะธนาคารต่างๆ ตั้งคำถามว่าทำไม รฟม.ไม่ทำเอง เพราะธนาคารอื่นๆ เสียเปรียบ โดยเฉพาะเรื่องฐานลูกค้าที่จะใช้ระบบตั๋วร่วม ผ่าน Master/ Visa Card ขณะที่
อยากให้ภาครัฐสร้างระบบที่มีความยุติธรรมต่อผู้ให้บริการทุกราย เรื่องการคมนาคมขนส่ง รฟม.รู้และมีข้อมูลความต้องการของผู้โดยสารดีกว่าจึงควรทำเอง”