ไทยออยล์ลุ้นไตรมาส 1 นี้ฟื้นตัวดีขึ้นจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น มีค่าการกลั่นเฉลี่ย 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และกำไรสต๊อกน้ำมันเล็กน้อย หวั่นสเปรดพาราไซลีนครึ่งปีหลังวูบ เหตุมีกำลังผลิตเข้าตลาดโลกเพิ่มขึ้น
แหล่งข่าว บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP เปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/2562 ว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยคาดว่าไตรมาสนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบจะเฉลี่ยในระดับ 60-65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงขึ้นกว่าสิ้นปี 2561 อยู่ในระดับ 57 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากกลุ่มโอเปกมีการควบคุมการผลิต สหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรอิหร่าน และเวเนซุเอลาส่งผลให้ซัปพลายน้ำมันดิบตึงตัว แต่ความต้องการใช้น้ำมันยังเหมือนเดิม ส่งผลให้ไตรมาสนี้ค่าการกลั่น (GRM) ยังอยู่ระดับ 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ใกล้เคียงช่วงสิ้นปี 2561 และไตรมาส 1/2562 บริษัทจะมีกำไรสต๊อกน้ำมันเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าการกลั่นในระยะสั้นนี้คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากโรงกลั่นในกลุ่มประเทศยุโรป และอเมริกาจะหยุดซ่อมบำรุงในเดือน มี.ค.-เม.ย. 2562 และโรงกลั่นในกลุ่มประเทศเอเชียหยุดซ่อมบำรุงในเดือน เม.ย.-มิ.ย. 2562 ส่งผลให้ปริมานการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดลดน้อยลงทำให้ค่าการกลั่นปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าในครึ่งปีแรกจะเฉลี่ยในระดับ 4-5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
สำหรับราคาส่วนต่างพาราไซลีนกับน้ำเบนซิน (สเปรด) ในไตรมาส 1/2562 จะอยู่ที่ระดับ 550 เหรียญสหรัฐต่อตันเพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาส 4/2561 เฉลี่ยอยู่ในระดับ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกปีนี้ บริษัทคาดว่าสเปรดพาราไซลีนจะเฉลี่ยอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน ก่อนที่จะปรับตัวลดลงในครึ่งหลังปี 2562 เนื่องจากมีกำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะจีนที่มีโรงงานผลิตพาราไซลีนกลับเข้าสู่ระบบมากขึ้นทำให้กดดันสเปรดราคาพาราไซลีนทั้งปี 2562 อยู่ที่ 470-480 เหรียญสหรัฐต่อตันหรือใกล้เคียงกับสิ้นปี 2561
แหล่งข่าวกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการพลังงานสะอาด (CFP) มูลค่าราว 4,719 ล้านเหรียญสหรัฐว่าโครงการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ไตรมาส 1/2562 และผลิตเชิงพาณิชย์ได้ไตรมาสแรกในปี 2566 กำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน
ในปี 2562 บริษัทฯ คาดว่าจะมีการใช้กำลังการกลั่นอยู่ที่ 103% ลดลงจากปีก่อนที่เฉลี่ย 111-112% เนื่องจากมีแผนซ่อมบำรุงโรงกลั่นเพิ่มขึ้น
ด้านผลการดำเนินงานปี 2561 บริษัทมีรายได้จากการขาย 389,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 51,956 ล้านบาท จากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และมีกำไรสุทธิ 10,149 ล้านบาท ลดลง 14,707 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมัน