กรมธุรกิจพลังงานเผยปี 2561 ยอดใช้น้ำมันในประเทศโตเพิ่มขึ้น 3% จากปี 60 เฉลี่ยอยู่ที่วันละ 154.4 ล้านลิตร สอดรับทิศทาง ศก.โตทั้งการท่องเที่ยวและส่งออก ดันนำเข้าน้ำมันดิบทั้งปีทะลุ 8.27 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 60 ถึง 2 แสนล้านบาท
รายงานข่าวจากกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า การใช้น้ำมันภายในประเทศปี 2561 มีปริมาณทั้งสิ้น 56,342 ล้านลิตร เฉลี่ยวันละ 154.4 ล้านลิตร หรือ 971,167 บาร์เรลต่อวัน คิดเป็น 81.7% ของปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตได้ภายในประเทศ โดยการจำหน่ายภายในประเทศเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนวันละ 4.6 ล้านลิตร หรือเฉลี่ย 3% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของกลุ่มน้ำมันอากาศยาน ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) น้ำมันเตา กลุ่มน้ำมันเบนซิน และกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ส่งผลให้ไทยมีการนำเข้าน้ำมันดิบรวม 55,192 ล้านลิตร เฉลี่ยวันละ 151.2 ล้านลิตร หรือ 951,039 บาร์เรลต่อวัน มูลค่าการนำเข้ารวม 827,395 ล้านบาท โดยปริมาณเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2,558 ล้านลิตร คิดเป็น 4.9% มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้น 201,511 ล้านบาท คิดเป็น 32.2% ซึ่งเป็นการขยายตัวตามทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2561 ที่โตระดับ 4.1% โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและส่งออกที่เติบโตสูง
สำหรับการจำหน่ายน้ำมันในประเทศปี 2561 ได้แก่ กลุ่มเบนซินอยู่ที่ 11,373.01 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.11% แยกเป็น แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3,638.47 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 6.35% เนื่องจากส่วนต่างราคาที่ใกล้เคียงกับแก๊สโซฮอล์ 95 ทำให้คนหันไปเติมแก๊สโซฮอล์ 95 เพิ่มขึ้นส่งผลให้จำหน่ายได้ทั้งสิ้น 4,739 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.95% ขณะที่การจำหน่ายแก๊สโซฮอล์อี 20 อยู่ที่ 2,121.6 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11.47% แก๊สโซฮอล์อี 85 อยู่ที่ 436.72 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.92% เบนซิน 91 อยู่ที่ 38.64 ล้านลิตร ลดลงจากปีก่อน 32.2% ฯลฯ
ส่วนการจำหน่ายน้ำมันกลุ่มอากาศยานปี 2561 รวมอยู่ที่ 7,095.5 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.23% น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 23,621 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.47% น้ำมันเตา 2,191.9 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 4.23% ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) อยู่ที่ 6,518.22 ล้านกิโลกรัม (กก.) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4.7% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของการใช้ในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและครัวเรือน ขณะที่การจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ เหลวสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) อยู่ที่ 2,225.54 ล้านกิโลกรัม ลดลงจากปีก่อน 9.67% เนื่องจากปริมาณรถยนต์ที่ติดตั้งใช้เอ็นจีวีลดลงต่อเนื่องหลังจากที่มีการปรับราคาให้สะท้อนต้นทุนมากขึ้น