ปตท.-ขสมก.ขานรับนโยบายรัฐส่งเสริมการใช้น้ำมัน B20 ในรถโดยสารสาธารณะ ช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มตกต่ำ โดยรถเมล์ ขสมก. 2,075 คัน เปลี่ยนมาใช้ B20 ดีเดย์วันที่ 1 ก.พ.นี้ ดันยอดขาย B20 พุ่งเป็น 7 ล้านลิตร/เดือน
วันนี้ (31 ม.ค.) บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ร่วมกับองค์กรขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดแถลงข่าว “ปตท.ร่วมกับ ขสมก.ประกาศความพร้อมรถโดยสารใช้น้ำมัน B20” เพื่อบรรเทาปัญหาวิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในงาน
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า จากปัญหาสถานการณ์น้ำมันปาล์มดิบล้นตลาดและมีราคาตกต่ำ กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการพิจารณาเพิ่มการใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตไบโอดีเซลสำหรับภาคขนส่ง ตั้งแต่การเพิ่มสัดส่วนน้ำมันไบโอดีเซลสำหรับใช้ในรถยนต์ทั่วไปจากร้อยละ 6.6 เป็นร้อยละ 6.9 และการดำเนินการให้มีการจำหน่ายน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมไบโอดีเซล ร้อยละ 20 สำหรับรถใหญ่ในสถานีบริการทั่วไป ซึ่งจะพร้อมจำหน่ายในเขต กทม. ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป เพื่อช่วยลดมลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่มีปริมาณสะสมสูงเกินค่ามาตรฐานในขณะนี้ผ่านมาได้มีการทดลองใช้น้ำมันดีเซลเกรดพิเศษ B20 กับรถ ขสมก.ซึ่งพบว่าไม่มีผลกระทบต่อเครื่องยนต์และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่แตกต่างจากการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ อีกทั้งยังทำให้ระบบเผาไหม้ของเครื่องยนต์สะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการลดฝุ่นละอองจากท่อไอเสียของยานยนต์ สำหรับมาตรการระยะยาวเพื่อแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ กรมธุรกิจพลังงานได้ขอความร่วมมือให้โรงกลั่นน้ำมันภายในประเทศจัดทำแผนปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพน้ำมัน EURO4 (ค่ากำมะถันไม่เกิน 50 ppm) เป็นมาตรฐาน EURO5 (ค่ากำมะถันไม่เกิน 10 ppm) ซึ่งจะช่วยให้การเผาไหม้เครื่องยนต์สะอาดมากขึ้น
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดออกมาตรการเพื่อบรรเทาสถานการณ์ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินมาตรฐานโดยเร่งด่วน เริ่มจากให้กรมการขนส่งทางบก จัดทีมตรวจสภาพรถ ขสมก.โดยต้องไม่เกิดปัญหาควันดำโดยเด็ดขาด ให้ ขสมก.ปรับเครื่องยนต์โดยสารทุกคันให้ใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 เพื่อลดมลพิษจำนวน 2,075 คัน รวมถึงเร่งประสานขอรับรถ NGV ในส่วนที่เหลืออีก 119 คัน เพื่อให้บริการประชาชนและเร่งจัดหารถที่ใช้พลังงานสะอาด ประกอบด้วย รถโดยสาร NGV รถไฮบริด รถไฟฟ้า (EV) เพื่อแก้ปัญหาต่อเนื่อง ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเข้มงวดมาตรการลดฝุ่นละอองในพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 โครงการ ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย แก้ปัญหาฝุ่นละอองหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์กร รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชลกรุงเทพ กล่าวว่า องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้ดำเนินการตามนโยบายกระทรวงพลังงานและกระทรวงคมนาคมที่ต้องการสนับสนุนการใช้น้ำมันปาล์มภายในประเทศ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนปาล์ม และลดฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน โดยเมื่อช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา ขสมก.ได้ทดลองใช้น้ำมัน B20 กับรถโดยสารธรรมดา จำนวน 17 คัน พบว่าเครื่องยนต์สามารถทำงานได้ตามปกติ และมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซล B7 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ขสมก.จึงได้มีแผนนำน้ำมันดีเซล B20 มาใช้กับรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศ จำนวน 2,075 คัน แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ใช้น้ำมันดีเซล B20 กับรถโดยสารธรรมดา จำนวน 815 คัน เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา และระยะที่ 2 ใช้น้ำมันดีเซล B20 กับรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศ จำนวน 1,260 คัน ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป โดยค่ายรถยนต์ฮีโน่ และอีซูซุ มั่นใจประสิทธิภาพรถโดยสารใช้ B20
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.มีความพร้อมในการจัดหาและขนส่งน้ำมัน B20 ซึ่งเป็นน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ในสัดส่วนร้อยละ 20 ให้กับรถโดยสารสาธารณะของ ขสมก.จำนวน 2,075 คัน ประมาณการใช้น้ำมันทั้งสิ้น 187,000 ลิตรต่อวัน สร้างเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมัน ช่วยเหลือเกษตรกรน้ำมันปาล์มได้อีกด้วย
โดยในวันพรุ่งนี้ (1 ก.พ.) ปตท.จะเปิดจำหน่ายน้ำมันดีเซล B20 ผ่านสถานีบริการน้ำมัน ปตท.จำนวน 5 แห่งเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน ทำให้ ปตท.มีจุดให้บริการน้ำมันดีเซล B20 รวม 32 จุด ประกอบด้วย จุดบริการสำหรับรถบรรทุกของเอกชน 5 แห่ง ในสถานีบริการน้ำมันของ ปตท.5 แห่ง จุดบริการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) 20 แห่ง และบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) 2 แห่ง โดย ปตท.พร้อมที่จะเปิดจุดจำหน่ายดีเซล B20 เพิ่มเพื่อรองรับความต้องการใช้ ซึ่งปัจจุบันมียอดขายดีเซล B20 รวม ขสมก.ที่จะมีการบังคับใช้ทุกคันในวันที่ 1 ก.พ.นี้จะอยู่ที่ 7 ล้านลิตร/เดือน คาดว่าสิ้นปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านลิตร/เดือน
น.ส.นันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า วานนี้ (31ม.ค.) กรมฯ ได้เรียกผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ 6 แห่ง คือ โรงกลั่นไทยออยล์, โรงกลั่นบางจาก, โรงกลั่นพีทีทีจีซี, โรงกลั่นเอสโซ่, โรงกลั่นไออาร์พีซี และโรงกลั่นเอสพีอาร์ซี มาหารือร่วมกันถึงความเป็นไปได้ในการเร่งรัดให้ปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันให้เป็นมาตรฐานยุโรป 5 หรือยูโร 5 ให้เสร็จก่อน 5 ปี เพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ซึ่งกลุ่มโรงกลั่นมองว่าในทางเทคนิคยังมีผลกระทบและต้องการให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุน นอกเหนือจากต้นทุนดำเนินการที่คาดว่าต้องใช้เงิน 3.5 หมื่นล้านบาท สำหรับการปรับปรุงโรงกลั่นเพื่อผลิตน้ำมันยูโร 5
“เบื้องต้นนั้นการปรับปรุงโรงกลั่นตามมาตรฐานยูโร 5 ให้ได้ก่อน 5 ปีนั้น สามารถทำได้เฉพาะน้ำมันดีเซลและเบนซินบางชนิดก่อน ซึ่งปัญหาต่อมาคือ เมื่อมีมาตรฐานน้ำมันมากกว่า 1 ประเภท จะกระทบต่อการใช้ท่อส่งน้ำมันที่บางรายใช้ท่อเดียวกันในการขนส่ง และอาจทำให้สเปกน้ำมันไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมกันหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าวต่อไป”
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การปรับปรุงโรงกลั่นของกลุ่ม ปตท.เพื่อรองรับการใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 5 นั้นต้องรอความชัดเจนนโยบายของกระทรวงพลังงานก่อน รวมถึงค่ายรถยนต์ว่าจะปรับตัวหรือใช้เวลาในการพัฒนารถยนต์รองรับน้ำมันยูโร 5 อย่างไร ซึ่งโรงกลั่นในเครือ ปตท.จะใช้เวลาประมาณ 4-5 ปีในการปรับปรุงรองรับการผลิตน้ำมันยูโร 5 แต่หากภาครัฐสั่งเร่งรัดแผนปรับปรุงมาตรฐานโรงกลั่นให้เสร็จก่อน 5 ปี ทาง ปตท.พร้อมปฏิบัติตาม