ผู้จัดการรายวัน 360 - HILL ASEAN เผยผลวิจัย ชี้เทคโนโลยี IoT-AI เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคอาเซียนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน แนะแบรนด์ควรปรับตัวรับมือสู่ความเป็นเรียลไทม์แบรนด์
นายโกโร โฮคาริ กรรมการผู้จัดการ Hakuhodo Institute of Life and Living ASEAN เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน หรือ HILL ASEAN ภายใต้บริษัท ฮาคูโคโด อิงค์ เผยผลวิจัยหัวข้อ THINK FUTURE -FORWARD : How ASEAN Lives Evolve as Technology Gets Smarter จากกลุ่มตัวอย่างใน 6 ประเทศอาเซียน คือ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
พบว่า IoT จะเป็นเทคโนโลยีแห่งยุคอนาคตที่มีบทบาทสำคัญเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้บริโภคอาเซียน หลังจากที่สมาร์ทโฟนได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเรามาก่อนหน้านี้ เมื่อ IoT ถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายจะเกิดสื่อรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Assistive Media ช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทันท่วงที ช่วยปลดปล่อยผู้บริโภคจากการกระทำซ้ำๆ ในแต่ละวันที่น่าเบื่อหน่าย นำไปสู่พฤติกรรมการชอปปิ้งที่ต่างไปจากเดิม โดยเน้นการจับคู่ผู้บริโภคกับสินค้าและบริการตามความชื่นชอบของแต่ละคน
ทั้งนี้ จะพบว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมาสมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน และอนาคตต่อจากนี้ IoT จะก้าวล้ำขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดการณ์ว่าในปี 2012 สมาร์ทโฟนจะเพิ่มเป็น 8.6 พันล้านเครื่อง จาก 7.5 พันล้านเครื่องในปี 2017 แต่ IoT จากปี 2017 อยู่ที่ 7 พันล้านดีไวซ์ จะเพิ่มเป็น 19.8 พันล้านดีไวซ์ในปี 2012 ซึ่งการ แพร่หลายของเทคโนโลยี IoT จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง 3 ประการ คือ
1. การมาถึงของยุคไร้จอ "Beyond the screen" โลกดิจิทัลที่เคยอยู่แต่บนจอจะก้าวข้ามรูปแบบของหน้าจอไปโดยสิ้นเชิง เทคโนโลยีดิจิทัลจะแผ่ขยายไปอยู่ในเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน รถยนต์ ระบบเมือง และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม
2. การสั่งสมฐานข้อมูล "Me Data" ข้อมูล
ต่างๆ เกี่ยวกับตัวเรา ทั้งในอดีต การสั่งซื้อ ความชื่นชอบ จะถูกเก็บสะสมอยู่ในอุปกรณ์ IoT ต่างๆ ซึ่งเชื่อมต่อเข้ากันเพื่อสะสมข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณ (Me Data) และมีศูนย์กลางการควบคุมเพียง 1 ไอดีเท่านั้น และ 3. การให้คำแนะนำที่ตรงใจ ยิ่ง Me Data เก็บข้อมูลได้มาก AI จะสามารถให้คำแนะนำที่โดนใจผู้ใช้งานได้ดีมากขึ้นเท่านั้น รวมถึงคาดการณ์พฤติกรรมผู้บริโภคได้แม่นยำมากขึ้น สามารถนำเสนอสิ่งที่เราต้องการในช่วงเวลานั้นๆ ได้อย่างทันท่วงที
จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีนี้เองนำไปสู่พฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคใน 2 รูปแบบ คือ 1. Bye-Bye Boring Routines การดำเนินกิจกรรมซ้ำๆ ตามปกติในแต่ละวันจะลดลง Iot และ AI จะเข้ามาช่วยให้กิจกรรมเหล่านี้ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ง่ายและเป็นไปโดยอัตโนมัติมากขึ้น ทำให้กิจวัตรไม่น่าเบื่อ และมีความสนุกมากขึ้น และ 2. Match-Me Journey จากที่ต้องเสียเวลาศึกษาหาข้อมูลเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจซื้อ ผู้บริโภคจะได้รับคำแนะนำจากระบบ AI เกี่ยวกับสิ่งของและบริการที่น่าซื้อ ที่กลั่นกรองมาแล้วให้ตรงความชอบส่วนบุคคล แล้วจึงค่อยทำการตัดสินใจซื้อในที่สุด
***แบรนด์ปรับตัวเป็น Real time Brand
การสื่อสารของแบรนด์จะเปลี่ยนไป จากแค่บอกถึงตัวสินค้า จะต้องมีความเรียลไทม์เข้าไปอยู่กับผู้บริโภคในทุกที่ ส่งผลให้แบรนด์ต้องมีการปรับตัว เตรียมพร้อมรับมือใน 3 แนวทาง คือ
1. Purpose Branding กำหนดนิยามคุณค่าของแบรนด์ชัดเจนเหมาะกับสถานการณ์ แบรนด์ต้องให้คำนิยามที่ชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์ของตนนั้นจะเป็นประโยชน์และจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของผู้บริโภคในเวลาหรือสถานการณ์ใด 2. Life Solution พัฒนาโซลูชันครบวงจร ตอบโจทย์ทุกปัญหาผู้บริโภค พวกเขาจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน โดยนำเสนอสิ่งเหล่านี้แก่ผู้บริโภคได้อย่างครบวงจร
3. Real-Time Marketing นำเสนอคอนเทนต์โดนใจ ฉับไวตรงสถานการณ์ เน้นการสร้างคอนเทนต์การสื่อสารที่ตอบสนองต่อความสนใจของผู้บริโภคแต่ละคนได้อย่างทันท่วงที ให้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น รวมถึงวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับกลุ่มลูกค้า โดยต้องใช้มีดาต้าเข้ามาผสมผสานจะช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น