อินเด็กซ์ฯ โชว์ฟอร์ม 'World Expo 2020 Dubai' คว้าสิทธิ์บริหาร Thai Pavilion มูลค่าการจัดงานทั้งสิ้น 887 ล้านบาท เนรมิตพื้นที่กว่า 3,600 ตารางเมตร หรือ 2.25 ไร่ นำเสนอความเป็นไทยสู่สายตาชาวโลกที่คาดว่าจะตบเท้าเข้าชมงานกว่า 25 ล้านคน
อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ ผู้นำความสำเร็จสร้างชื่อเสียงและสร้างแบรนดิ้งให้ประเทศไทย ทำให้คนต่างชาติได้รู้จักประเทศไทยมากขึ้นจากการทำไทยแลนด์พาวิเลียน ในงานเวิลด์ เอ็กซ์โป งานที่ถือเป็น 1 ใน 3 งานใหญ่ของโลก เช่นเดียวกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและฟุตบอลโลก โดยเริ่มต้นทำไทยแลนด์พาวิเลียนที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ในปี 2010 ซึ่งกลายเป็นศาลาไทยที่ติดอันดับ Top 7 ของพาวิเลียนยอดนิยม ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนจีนและคนต่างชาติรู้จักคนไทยมากขึ้น จากนั้นในปี 2012 อินเด็กซ์ฯ ได้มีโอกาสจัดแสดงไทยแลนด์พาวิเลียนที่ประเทศเกาหลี และตอกย้ำความสำเร็จด้วยการติด Top 3 ของพาวิเลียนยอดนิยม และสำหรับปี 2017 เวิลด์ เอ็กซ์โปที่จัดขึ้น ณ กรุงอัสตานา ประเทศคาซัคสถาน ก็สามารถคว้าที่ 2 ของพาวิเลียนยอดนิยมที่ดีที่สุดของเด็กและครอบครัวจากชาวคาซัคมาได้สำเร็จ
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม กลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการตลาดเชิงสร้างสรรค์อย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน บริษัทครีเอทีฟอีเวนต์อันดับ 7 ของโลก (จัดอันดับโดยนิตยสารสเปเชียล อีเวนต์ แมกกาซีน สหรัฐอเมริกา) กล่าวว่า งานเวิลด์ เอ็กซ์โป เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างชื่อเสียงของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักของชาวโลก และส่งผลดีในด้านความมั่นคงและการค้าการลงทุนของประเทศ ซึ่งอินเด็กซ์ฯ ได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นหน่วยงานหลักในการเป็นเจ้าภาพเข้าร่วมงานใหญ่ในการบริหารอาคารแสดงประเทศไทย (Thai Pavilion) ภายในงาน ‘เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ’ (World Expo 2020 Dubai) งานนิทรรศการนานาชาติระดับโลก ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 โดยได้เตรียมเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นหน่วยงานหลักในการเป็นเจ้าภาพเข้าร่วมงาน 'เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ’ ซึ่งจะมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมงานจำนวนกว่า 180 ประเทศ โดยประเทศเจ้าภาพคาดว่าจะดึงดูดผู้ชมได้ราว 25 ล้านคน งานนี้จะจัดบนพื้นที่กว่า 4 ตารางกิโลเมตร ริมชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของนครดูไบ
“ครั้งนี้ประเทศไทยจะจัดสร้างอาคารแสดงประเทศไทยในพื้นที่จัดแสดงด้าน ‘Mobility’ หรือ ‘การขับเคลื่อน’ ภายใต้แนวคิด “Mobility for the future การขับเคลื่อนสู่อนาคต” โดยอาคารแสดงประเทศไทยจะเสนอแนวคิดของการพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศไทยในมิติ Digital for Development ผสมผสานกับการนำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทยผ่านการพัฒนาด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่โดดเด่น บนพื้นที่กว่า 3,600 ตารางเมตร หรือ 2.25 ไร่ โดยทางอินเด็กซ์ฯ ได้รับมอบหมายในฐานะผู้บริหารจัดการอาคารศาลาไทย ซึ่งรับผิดชอบตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนกลยุทธ์ ดำเนินการจัดนิทรรศการ บริหารจัดการ ควบคุมงานก่อสร้าง รวมถึงวางแผนด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ โดยมีมูลค่าการจัดงานทั้งสิ้น 887 ล้านบาท”
สำหรับความแตกต่างของการทำพาวิเลียนครั้งนี้คือ กลุ่มเป้าหมายจะเปลี่ยนจากคนท้องถิ่นเป็นนักท่องเที่ยว 70% ซึ่งต่างจากหลายๆ ปีที่เราเคยจัดที่เป็นคนท้องถิ่นเข้ามาดู แต่เราตั้งเป้าไว้ว่าต้องทำให้เป็นพาวิเลียนที่ได้รับความนิยมให้ได้ เราจึงศึกษาว่าคนต่างชาติมองประเทศไทยเป็นอย่างไร และจากผลการสำรวจของ ททท. พบว่าคนต่างชาติเห็นว่าคนไทยมีมิตรไมตรี มีความสุข ยินดีต้อนรับ และยิ่งตอกย้ำด้วยการได้รับรางวัล Best Country For People จากนิตยสาร Conde Nest Traveller ในปี 2018 ทำให้เรานำผลสำรวจในจุดนี้มาจัดสร้างไทยแลนด์พาวิเลียนผ่าน THAI’S DNA มหัศจรรย์แห่งรอยยิ้ม (Miracle of smile) เพื่อจะทำให้อาคารแสดงประเทศไทยของเราโดดเด่น และได้เลือกใช้พวงมาลัยเป็นสัญลักษณ์ประจำอาคารแสดงประเทศไทย เพื่อสื่อถึงการต้อนรับที่จริงใจ
นอกจากนี้ ความท้าทายในครั้งนี้คืองบประมาณของประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศชั้นนำอื่นๆ ที่ใช้เงินงบประมาณลงทุนประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาทต่อพาวิเลียน และเราต้องแข่งกับทั้งเมืองดูไบเอง ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าดึงดูดมากมาย รวมทั้งกับพาวิเลียนอื่นๆ ที่อยู่ภายในงาน ดังนั้นเราจึงมีการวางแผนทำการตลาด ว่าจะทำอย่างไรให้คนเข้ามาชม ซึ่งการจะทำให้พาวิเลียนของเราประสบความสำเร็จแบ่งออกเป็น 4 สัดส่วนหลัก ได้แก่ องค์ประกอบการจัดงาน 25% กิจกรรม 16% การประชาสัมพันธ์ 14% และสถาปัตยกรรม 9% และนี่คือความท้าทายที่สนุกเพราะเรารู้ปัญหาก่อนแล้ว เรามั่นใจว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมไทยแลนด์พาวิเลียนประมาณ 7% ของประมาณการผู้เข้าชมทั้งหมด หรือประมาณ 1,750,000 ล้านคน
นอกจากนี้ อินเด็กซ์ฯ ยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครบวงจร รวมถึงความเชี่ยวชาญในการเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการทำงานเอ็กซ์โปมากที่สุดในประเทศไทย ผนวกกับความแข็งแกร่งในเรื่องของโนว์ฮาว (Know-how) ของอินเด็กซ์ฯ จึงมั่นใจจะสามารถสร้างสรรค์งาน 'เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ' ครั้งนี้ให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติได้ประทับใจอย่างแน่นอน ซึ่งนี่คือการทำแบรนดิ้งของประเทศไทยผ่านไทยแลนด์พาวิเลียนที่ผ่านมาของอินเด็กซ์ฯ และครั้งนี้พร้อมจะนำพาวิเลียนไทยไปสู่สายตาชาวโลก และเป็นการตอกย้ำว่าครีเอทีฟคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก
