xs
xsm
sm
md
lg

อุตสาหกรรม VR และ AR มาแรงตั้งแต่นี้ไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ได้อธิบายถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม Virtual Reality (VR) ว่า Goldman Sachs ได้คาดการณ์ว่าเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) จะขยายตัวและแซงหน้า TV ได้ภายในปี 2025 และสร้างรายได้ต่อปีมากกว่า TV โดยมีการวิเคราะห์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ตลาด VR จะสามารถสร้างรายได้ได้มากถึง 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อเทียบกับ TV ที่สามารถสร้างรายได้ได้เพียง 9.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

หากการใช้เทคโนโลยี VR เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้ VR กลายเป็นเทคโนโลยีธรรมดาเหมือนกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่และโทรศัพท์เคลื่นที่ที่ก้าวหน้ามากขึ้น และในท้ายที่สุดอุปกรณ์ VR และ VR headsets ในระดับไฮเอนด์จะกลายเป็นอุปกรณ์พกพาอย่างแท้จริง ซึ่ง VR headsets จะมีขนาดเล็กลงคล้ายกับแว่นกันแดดมากกว่าแว่นตาขนาดใหญ่ของ Oculus Rift และ HTC Vive ในรุ่นแรกๆ

นี่เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับที่ CEO ของ Oculus ได้ตั้งเป้าหมายในระยะยาวไว้ว่าจะให้คนพันล้านคนเข้าถึงเทคโนโลยี VR และจะมอบประสบการณ์ VR ที่สะดวกสบายอย่างไม่น่าเชื่อกับชุดแว่นกันแดด ด้วยการลดขนาดชุดหูฟังลงภายในกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา ซึ่งในการลดขนาดชุดหูฟัง VR ลงให้เท่ากับขนาดแว่นกันแดดนั้น อาจต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษหรือมากกว่านั้น

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขข้างต้น ที่ Goldman Sachs คาดการณ์นั้น มาจากการขายฮาร์ดแวร์เท่านั้น หากนำตัวเลขการขายซอฟต์แวร์ VR เข้ามารวมด้วย ซึ่ง Goldman Sachs ได้คาดการณ์ว่ายอดขายซอฟต์แวร์ VR ประมาณ 72,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ VR จะสามารถสร้างรายได้มากถึง 182,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมากกว่ารายได้ในอุตสาหกรรมทีวีถึง 2 เท่า

แม้ว่าการใช้ VR ในปัจจุบันยังไม่มากถึงตัวเลขที่ Goldman Sachs ได้คาดการณ์ไว้ แต่คาดว่ารายได้รวมจากฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ VR จะอยู่ที่ประมาณ 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งยังเป็นการใช้ VR ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และยังคงเป็นการใช้งานอยู่กับที่เป็นส่วนใหญ่ แต่คาดว่าอีกไม่นานชุดหูฟัง VR เคลื่อนที่จะเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ซึ่งจะทำให้เทคโนโลยีแพร่หลายอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ จากการศึกษาของ eMarketer ในปี 2017 ระบุว่าในปี 2017 ผู้คนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกามากกว่า 22 ล้านคน จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ Virtual Reality (VR) เป็นประจำ และจำนวนนั้นจะเติบโตถึง 49 ล้านคนภายในปี 2019 แต่ในจำนวนนี้รวมถึงการดูวิดีโอได้แบบ 360 องศาบนเว็บหรืออุปกรณ์อื่นๆ เช่น ภาพถ่ายและวิดีโอแบบ 360 องศา บน Facebook และ YouTube

ในปี 2017 มีผู้ใช้เทคโนโลยี Augmented reality (AR) 40 ล้านคนต่อเดือน และคาดว่าเพิ่มขึ้นเป็น 54.4 ล้านคนในปี 2019 ซึ่งไม่ใช่เฉพาะการใช้ HoloLens ของ Microsoft หรือชุดหูฟัง AR headsets อื่นๆ เท่านั้น แต่รวมถึงประสบการณ์ AR บนโทรศัพท์มือถือ อย่างเช่น เลนส์ Snapchat และเอฟเฟกต์ AR ใน Facebook Stories

Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Facebook ส่งสัญญาณว่า Facebook จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี AR ในการประชุม F8 developer conference ของ Facebook ด้วยการเปิดตัวแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ และเขายังกล่าวว่า การเติบโตของเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) จะทำให้ฮาร์ดแวร์ส่วนใหญ่ที่เราใช้ในทุกวันนี้ล้าสมัย ซึ่ง Zuckerberg ได้ระบุว่าแว่นตาหรือคอนแทร็กต์เลนส์ AR เป็นเป้าหมายสำหรับเทคโนโลยี AR โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะทำให้โทรทัศน์ สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อื่นๆ ในปัจจุบันแทบจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

ลองคิดดูว่าสิ่งต่างๆ ที่เรามีในชีวิตของเราจริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องมีอยู่จริง โดยสิ่งต่างๆ เหล่านั้นสามารถอยู่ในรูปแบบดิจิทัลก็ได้ และหากเราสามารถเข้าถึงสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ง่าย และราคาไม่แพงมาก เช่น หากคุณต้องการดูทีวี ก็สามารถดูผ่านแอปพลิเคชันในราคาเพียงแค่ไม่กี่สิบบาท แทนที่จะดูจากทีวีจริงๆ ที่ต้องเสียเงินซื้อในราคาหลักหมื่น และยังต้องหาพื้นที่ในการวางทีวีจอใหญ่ๆ อีกด้วย

ในขณะที่แว่นตาที่อาจจะยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก แต่กล้องจากสมาร์ทโฟนก็อาจเป็นเครื่องมือ AR ตัวแรกที่ได้รับความนิยม จาก Pokémon GO และ Snapchat

ดังนั้น หนึ่งในเป้าหมายหลักของการประชุม F8 คือ แพลตฟอร์มเอฟเฟกต์ใหม่ๆ ของกล้องที่จะเปิดให้นักพัฒนาทุกคนได้ร่วมกันพัฒนาขึ้น ซึ่ง Zuckerberg กล่าวว่าเครื่องมือในรุ่นเบต้านี้จะได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นระยะๆ และจะทำให้กล้องกลายเป็นแพลตฟอร์ม AR ได้

โดยทั่วไปแล้วเทคโนโลยี AR จะใช้เพื่อนำข้อมูลหรือวัตถุแบบดิจิทัลมาซ้อนทับวัตถุบนสภาพแวดล้อมทางกายภาพ หรือปรับปรุงวัตถุทางกายภาพที่มีอยู่ ซึ่ง AR เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมสถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง ซึ่งเทคโนโลยี AR จะช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้างสรรค์ สำรวจ และทำการก่อสร้าง โดย การผสมผสานวัตถุทางกายภาพและวัตถุทางดิจิทัลในรูปแบบใหม่ ซึ่งจะทำให้สามารถออกแบบสิ่งก่อสร้างต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม AR จึงเป็นแนวโน้มที่น่าสนใจ

นอกจากนี้ Facebook มีการคาดการณ์ว่าแว่นตา AR จะสามารถแทนที่สมาร์ทโฟน และกลายมาเป็นอุปกรณ์ใหม่ในชีวิตประจำวัน โดยการวิจัยของ Oculus Research ของ Facebook กำลังพัฒนาชุดหูฟัง VR Headset และแว่นตา AR ขึ้น โดยแว่นตา AR จะมีลักษณะเหมือนแว่นตาธรรมดาๆ ทั่วไป มีน้ำหนักเบาและมีสไตล์ และสามารถเพิ่มความจำและความชาญฉลาดให้แก่ผู้สวมใส่ สามารถแปลภาษาและสัญลักษณ์ต่างๆ ได้ทันที หรือจะเรียกว่าเป็น Super Glasses ซึ่งไม่ได้เป็นแว่นตาเสมือนจริงที่จะทำให้ผู้สวมใส่แยกไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง แต่จะนำเอาข้อมูลเสมือนจริงเข้ามาสู่โลกแห่งความจริง ซึ่งแนวคิดนี้เรียกว่า Augmented Reality (AR)

Super Glasses จะต้องมีการพัฒนา เลนส์ และการแสดงผล ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีก 10 หรือ 20 ปี โดยมีการคาดการณ์ว่าอีก 20 หรือ 30 ปีต่อจากนี้ คนจะไม่ต้องถือสมาร์ทโฟนอีกแล้ว แต่จะสวมแว่นตา AR แทน ซึ่งจะสามารถใช้ VR, AR หรือ MR ได้ตลอดทั้งวัน

ความสำเร็จครั้งสำคัญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของแว่นตา AR ที่จะกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่เป็นที่นิยม และเห็นได้ทั่วไป อาจไม่ไกลเกินไปนัก โดยอาจใช้เวลาเพียง 5 ปี ซึ่งก็อาจจะเหมือนกับช่วงเวลา “Macintosh moment” ที่บริษัท Apple เปิดตัวคอมพิวเตอร์แมคอินทอชในปี 1984 ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้กลายเป็นตลาดสำหรับคนทุกคนทั่วโลก

ถึงแม้ว่าแว่นตา AR นั้นจะยังไม่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย และอาจกำลังอยู่ในข่วงเวลา “Macintosh moment” ที่อาจต้องใช้เวลาอีกประมาณ 5 ปี ตามที่ Facebook คาดการณ์ไว้ ซึ่งเปรียบเหมือนกับแมคอินทอชที่เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกสำหรับผู้ใช้งานกราฟิก และมีการใช้เมาส์ ซึ่งได้กลายมาเป็นมาตรฐานของการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่แพร่หลายสำหรับผู้คนทั่วโลกในปัจจุบัน

เหมือนกับในปัจจุบันที่เรามีแว่นตา AR อยู่แล้ว แต่อาจจะยังอยู่ในช่วง pre-Mac ซึ่งแว่นตา Google Glass เป็นความพยายามครั้งแรกในการผลิตแว่นตาคอมพิวเตอร์ แต่กลับไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากรูปลักษณ์ที่ไม่สวยงาม ประสิทธิภาพยังไม่ดี และผู้ใช้ยังมีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

ความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้มนุษย์สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีขึ้น อย่างเช่น ความสามารถในการประดิษฐ์แว่นตา AR รุ่นใหม่ๆ ที่มีน้ำหนักเบา สะดวกสบาย มีสไตล์ ประหยัดพลังงาน สามารถใช้งานได้ทุกที่ ทำให้วิสัยทัศน์การมองเห็นและการได้ยินดีขึ้น มีความราบรื่น สามารถเป็นผู้ช่วยที่ทำให้ผู้ใช้มีความชาญฉลาดและมีความสามารถมากขึ้นที่อาจจะทำให้เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น

ในปัจจุบัน มีบริษัทด้านเทคโนโลยีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Snap, Magic Leap, Google และ Microsoft ที่มีความทะเยอทะยาน ต้องการจะเป็น Macintosh of glasses ให้ได้ โดยระยะเวลา 5 ปี น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เป็นไปได้สำหรับการเติบโตของเทคโนโลยี AR แต่ Facebook เอง กลับมองว่าระยะเวลา 5 ปี อาจยาวนานเกินไป ซึ่งถ้าหากต้องการเป็นผู้นำจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาที่เร็วกว่านั้น เนื่องจากมีคู่แข่งจำนวนมากที่อาจทำได้เร็วกว่า


กำลังโหลดความคิดเห็น