ผู้จัดการรายวัน360 - “บีเจซี” สยายปีก ซื้อกาแฟวาวีต่อยอดค้าปลีก วางแผน 5 ปี ทุ่มงบ 2 พันล้านบาท เปิดร้านกาแฟวาวีให้ครบ 1,000 สาขา ด้าน ”บิ๊กซี” เปิดแผนปี 62 ทุ่มงบรวมหมื่นล้านบาท ขยายสาขาเต็มสูบ
นางสุวรรณี ภู่ภานนท์ รองประธานฝ่ายธุรกิจกลุ่มกาแฟและร้านขายยาเพรียว กลุ่มบีเจซี บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทางกลุ่มบีเจซี ได้นำบริษัท บีเจซี เมก้า มาร์เก็ต จำกัด (บีเจเอ็มเอ็ม) ที่จัดตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2559 และเป็นบริษัทในเครือของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ เพื่อเข้าซื้อกิจการกาแฟวาวี เพื่อเป็นการขยายธุรกิจทางด้านค้าปลีกของกลุ่มบีเจซีให้มีความหลากหลายและสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจมากยิ่งขึ้นด้วย
ธุรกิจกาแฟวาวี ยังเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ เป็นแบรนด์ที่ดีและกาแฟยังสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยทุกวันนี้ที่นิยมดื่มกาแฟกันมาก ซึ่งมองว่า ธุรกิจกาแฟวาวียังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์กาแฟวาวีใหม่ ทั้งโลโก้และสโลแกน เพื่อให้เป็นกาแฟไทยระดับพรีเมียม พร้อมกับปรับรสชาติให้เข้ากับความต้องการของคนไทยด้วย อย่างไรก็ตาม กาแฟวาวี ได้ชูกลยุทธ์ด้านราคาที่ถูกกว่ากาแฟสตาร์บัคส์ 30% เริ่มต้น 35 บาทขึ้นไป
บริษัทวางแผนธุรกิจภายใน 3-5 ปีจากนี้ จะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อทำการขยายสาขาร้านกาแฟวาวี ให้ครบ 1,000 สาขา และคาดว่า ปีหน้า (2562) จะเปิดร้านกาแฟวาวี เพิ่มจากเดิมมี 20 สาขา เป็น 100 สาขาได้แน่นอนสำหรับรูปแบบร้านกาแฟวาวี มี 3 แบบ คือ 1. แฟลกชิปสโตร์ ขนาดพื้นที่มากกว่า 100 ตร.ม. จะเปิดสาขาที่ บิ๊กซี ราชดำริ และสุขาภิบาล 5 2. ขนาดเอส พื้นที่เฉลี่ย 20 ตร.ม. หรือเป็นคีออส ซึ่งปีหน้าบริษํทฯจะเน้นการขยายรูปแบบนี้มากขึ้น โดยการเปิดขายแฟรนไชส์ ช่วงแรกจะเน้นในกรุงเทพฯเป็นหลักก่อน และ 3. ขนาดเอ็ม พื้นที่ร้านเฉลี่ย 40-80 ตร.ม.
อีกทั้งยังวางแผนขยายธุรกิจร้านกาแฟวาวีไปต่างประเทศด้วย เบื้องต้นนี้มุ่งเน้นตลาดซีแอลเอ็มวีก่อน คาดว่า จะเริ่มประเทศลาวและกัมพูชาในปีหน้า ในร้านสะดวกซื้อเอ็ม-พ้อยท์ ซึ่งก็เป็นธุรกิจในเครือบีเจซีอยู่แล้ว ปัจจุบันมีสาขารวม 43 แห่ง ของกลุ่มธุรกิจของบีเจซี และบิ๊กซีที่ลาวและกัมพูชา โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปีหน้าไว้ที่ 100-200 ล้านบาท
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนธุรกิจของบิ๊กซีในปี 2562 ไว้ว่า จะต้องใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายสาขาใหม่ต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบิ๊กซีทุกรูปแบบมีรวมประมาณ 1,500 สาขา แบ่งเป็น ในประเทศไทย 1,000 สาขา และต่างประเทศ 500 สาขา ซึ่งในต่างประเทศมีแผนจะเปิดเอ็มเอ็ม เมก้า มาร์เก็ต เพิ่ม 7 สาขา ที่เวียดนาม จากปัจจุบันมี 19 สาขา ขณะนี้เริ่มมีกำไรแล้ว และอีก 2-3 ปีจากนี้จะนำธุรกิจของเอ็มเอ็ม เมก้า มาร์เก็ต เข้ามารวมอยู่กลุ่มบิ๊กซี
ส่วนธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศลาว คือ ร้านสะดวกซื้อ เอ็ม-พ้อยท์ ของกลุ่มธุรกิจของบีเจซี บริษัทเตรียมเปลี่ยนชื่อเป็นมินิบิ๊กซี ในเดือนธันวาคาม 2561 นี้ และจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงและการขยายตัวที่ลาวชัดเจนมากขึ้น ซึ่งสาขาแรกที่กัมพูชาจะเริ่มช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ปีหน้า
“ตอนนี้ด้วยสถานการณ์ที่ยังกังวลเรื่องกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะตลาดคนจีนหายไป 30% บริษัทจึงต้องปรับกลยุทธ์หันมาให้ความสำคัญกับกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอินเดียมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้สินค้าเหมือนกับไทย เน้นกลุ่มอาหาร ของแห้ง สแน็ก เหมือนกัน” นายอัศวิน กล่าว