ผู้จัดการรายวัน360 - “เจดี เซ็นทรัล” เสริมแกร่ง อี-คอมเมิร์ซ เซ็นเอ็มโอยู กับ 3 หน่วยงาน “DITP-depa-UTCC” หวังผลักดันเอสเอ็มอีไทยขายสินค้าให้กับจีนได้ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปีจากนี้ พร้อมลงทุน 2,000 ล้านบาท ด้านอินฟราสตรัคเจอร์ ซัพพลายเชน โลจิสติกก์ คลังสินค้า รองรับตลาด
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด ผู้ให้บริการอี-คอมเมิร์ซแบรนด์ เจดี เซ็นทรัล กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 3 ฉบับ กับ 3 หน่วยงานประกอบด้วย เจดี เซ็นทรัล กับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (DITP) , กับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (depa) และ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) ครั้งนี้เป็นการลงนามความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์ระหว่างบริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่อย่างเซ็นทรัลเจดี กับภาครัฐและมหาวิทยาลัย เพื่อสนับสนุนนโยบายในประเทศไทยและนโยบายของไทยในการเป็นศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซที่สำคัญสำหรับภูมิภาคอาเซียนในอนาคต
โดยทั้ง 3 เอ็มโอยู ประกอบด้วย เรื่อง การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเอสเอ็มอีไทยเพื่อผลักดันสินค้าของไทยสู่ตลาดโลกกับ DITP, การนำเสนอไอทีโซลูชันสำหรับพัฒนาระบบโลจิสติกส์และระบบห่วงโซ่อุปทานกับ depa และ การส่งเสริมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลอีคอมเมิร์ซสำหรับนักศึกษาไทยอย่างยั่งยืน กับทาง UTCC
“ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นมาหลังจากที่ได้เปิดตัว เจดี เซ็นทรัล มาร์เก็ตเพลซรายใหญ่ เมื่อเดือนกันยายน 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งเอ็มโอยูนี้จะช่วยวางรากฐานของโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งในด้าน อี-คอมเมิร์ซ ด้านการขนส่ง และด้านการศึกษา” นายญนน์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายว่าภายในปีหน้า (2562) จะต้องมีเอสเอ็มอีเข้ามาในระบบของเราประมาณ 10,000 ราย ซึ่งจะทำให้เอสเอ็มอีเหล่านี้มีมีโอกาสและช่องทางในการที่จะขายสินค้าและเติบโตได้ดี ส่วนในช่วง 5 ปีจากนี้ จะช่วยผลักดันให้สินค้าไทยของเอสเอ็มอีไทย สามารถขายสินค้าให้กับทางประเทศจีนได้ไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ผ่านทางแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งที่ผ่านมา มีสินค้าเอสเอ็มอีไทยได้ส่งออกหรือขายให้กับประเทศจีนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท สินค้าที่ซื้อกันในส่วนของสินค้าเกษตร คือ ผลไม้ที่คนจีนนิยม เช่น ทุเรียน มะม่วง เป็นต้น ตรงนี้จะทำให้เกษตรกรมีช่องทางขายมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนลงทุนไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท ในช่วง 2-3 ปีนี้ โดยเฉพาะในส่วนของระบบอินฟราสตรัคเจอร์ และซัปพลายเชน โลจิสติกส์ รวมไปถึง แวร์เฮาส์ด้วย ซึ่งวางแผนว่าภายในสิ้นปี 2561 นี้จะต้องเปิดดิสทริบิวชั่นเซ็นเตอร์ ให้ได้ 5 ที่ เปิดไปแล้วที่ กรุงเทพฯ 3 แห่ง เหลือที่ภาคเหนือคือเชียงใหม่ ที่ภาคอีสาน คือ ขอนแก่น พื้นที่เฉลี่ย 20,000 ตารางเมตรต่อแห่ง ขณะที่ได้เปิดแวร์เฮาส์ขนาดใหญ่แล้วที่ชลบุรี
“ที่ผ่านมา 3 เดือนที่เราเปิดบริการ เจดี เซ็นทรัล ก็ไปได้ดี พบว่าสินค้าที่นี่ คือ เอฟเอ็มซีจี และมือถือ และสินค้าชุมชน เป็นหลัก โดยมีปริมาณของคนที่ซื้อสินค้าเฉลี่ย 3-4% จากจำนวนผู้เข้ามาชมแพลทฟอร์ม มากกว่าค่าเฉลี่ยตลาดรวมที่อยู่ที่ 1-2% ของจำนวนคนที่เข้ามาชมเว็บ เราก็ต้องปรับไปเรื่อย ดูตลอดว่า ระบบเพย์เมนต์เราเป็นอย่างไร การสั่งสินค้า ซึ่งตอนนี้ระบบเรา ถ้าสั่งสินค้าก่อน 11 โมงเช้า จะได้รับสินค้าเย็นวันนั้นเลยหรือเซมเดย์ แต่ถ้าสั่งสินค้าหลัง 11 โมง จะได้สินค้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งในกรุงเทพเราจัดการส่งเอง ส่วนต่างจังหวัดมีพาร์ทเนอร์เช่น เคอร์รี่เอ็กซ์เพรส ดีเอชแอล ไปรษณีย์ไทย เป็นต้น” นายญนน์ กล่าว