xs
xsm
sm
md
lg

“เมเจอร์” ลั่นผุดทะลุพันโรงอีก 2 ปี ชี้ 3 โมเดลดันหนังไทยบี้ฮอลลีวูด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการรายวัน 360 - 'เมเจอร์' ลั่นปี 2563 ผุดโรงหนังทะลุ 1,000 โรงทั่วประเทศ ปีหน้าอัด 700 ล้านบาทผุดอีก 74 โรง ฟันธงยอดขายตั๋วหนังอีก 2 ปีแตะ 100 ล้านใบ โดยหนังไทยเบียดหนังเทศขึ้นแท่นกินแชร์ 60% ของภาพรวม

นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหนังในประเทศไทยมีมูลค่า 7,000-8,000 ล้านบาท ปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยหนังต่างประเทศ หรือทำรายได้ที่ 60-70% ขณะที่หนังไทยปี 2561 นี้น่าจะอยู่ที่ 25-30% และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 35% ซึ่งตัวเลขล่าสุดในเดือน ต.ค. 61 อยู่ที่ 26% แล้ว

ภายในปี 2563 มีโอกาสสูงมากที่หนังไทยจะขึ้นมาทำรายได้เท่ากันหรือแทนที่หนังต่างประเทศ ด้วยสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 50- 60% ได้จาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. จำนวนโรงภาพยนตร์ จากเมเจอร์ที่ถือเป็นผู้ขับเคลื่อนตลาด ซึ่งมีแผนขยายต่อเนื่อง เน้นในระดับอำเภอให้เข้าถึงคนไทยในต่างจังหวัดทั่วประเทศมากขึ้น โดยปีนี้เมเจอร์ฯ มีอยู่ 734 โรง ตั้งเป้าในปี 2563 จะมีร่วม 1,000 โรง หรือในภาพรวมมีโรงหนังทุกเครือรวมกันไม่ต่ำกว่า 1,500 โรง

2. ผู้ผลิตหนังไทยเพิ่มขึ้นจากการใช้โมเดลแบบฮอลลีวูด จับพันธมิตรร่วมทุนกันทั้งไทยและเทศ มีการแบ่งรายได้ให้ผู้กำกับหลังหนังเข้าฉาย ทำให้ผู้กำกับทำเป็นอาชีพได้มั่นคงขึ้น
และ 3. การผลิตหนังไทยที่เจาะกลุ่มคนต่างจังหวัดมากขึ้น หรือน่าจะมีหนังไทยทำเงินเข้าฉายไม่ต่ำกว่า 55-60 เรื่อง เฉลี่ยสัปดาห์ละเรื่อง คิดเป็นยอดขายตั๋วหนังได้กว่า 60% ซึ่งในจำนวนนี้มาจากกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในสัดส่วน 50% เท่าๆ กัน โดยบางเรื่องยังประสบความสำเร็จอย่างสูงในต่างจังหวัดมากกว่ากรุงเทพฯ

ดังนั้น ในปี 2563 ภาพรวมยอดจำหน่ายตั๋วหนังทั่วประเทศทั้งไทยและเทศจะสูงถึง 100 ล้านใบ จากปีก่อนอยู่ที่ 32 ล้านใบ ปีนี้โต 5-6% หรือมีมูลค่าที่ 7,000-8,000 ล้านบาท

ในส่วนเมเจอร์ฯ ปีหน้า (2562) จะใช้งบ 700 ล้านบาท ขยายโรงภาพยนตร์อีก 74 โรง แบ่งเป็นในประเทศ 72 โรง แต่ละแห่งเปิดไม่เกิน 1-2 โรง เน้นไปกับเทสโก้และบิ๊กซี และต่างประเทศ 2 โรงที่ลาว และกัมพูชา นอกจากนี้ยังเปิดกว้างรับพันธมิตรเข้าร่วมทุนผลิตหนังที่ตอบโจทย์คนในต่างจังหวัดเป็นหลักราว 20-23 เรื่องในปีหน้า เฉลี่ยลงทุนเรื่องละ 50-60 ล้านบาท

ดังนั้นจึงมั่นใจว่าปีหน้าบริษัทจะยังคงรักษาการเติบโตได้ 10-15% ของรายได้ทั้งหมด ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท โต 5-10% ซึ่งรายได้กว่า 5,000 ล้านบาทมาจากการขายตั๋วหนัง และกว่า 1,900 ล้านบาทมาจากป็อปคอร์นและเครื่องดื่ม รวมถึงมีเดียอีก 1,000 ล้านบาท ที่เหลืออีก 2,000 ล้านบาทมาจากธุรกิจอื่นๆ ในเครือ

นายวิชากล่าวด้วยว่า อุตสาหกรรมหนังยังคงเติบโตต่อเนื่องในยุคดิจิทัล ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหนังอย่างที่คาดการณ์ไว้ ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมาพบว่าโรงหนังทั่วโลกยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชีย เช่น จีน มีกว่า 50,000 โรง โต 20-30% ต่อปี ส่วนฝั่งฮอลลีวูด อย่างสหรัฐอเมริกาโต 10%

ขณะเดียวกัน ในแง่ของการผลิตภาพยนตร์ก็มีเพิ่มขึ้น เช่น ค่ายดิสนีย์ จากปีละ 3 เรื่อง เพิ่มเป็น 10 เรื่อง หลังจากลงทุนและปรับตัวจนมี 4 สตูดิโอใหญ่อยู่ในมือ อย่าง ลูคัสฟิล์ม, แอนิเมชัน, Mavel, Pixar และล่าสุดที่ได้ DC มาไว้ในมือ ส่วนในเอเชียการผลิตหนังยังโตแต่ไม่มาก เช่น จีนมีปีละ 600 เรื่อง อินเดีย 400 เรื่อง เกาหลี 200 เรื่อง และไทย 40 เรื่อง ซึ่ง 20 ปีก่อนเคยมีถึงปีละ 100 เรื่อง


กำลังโหลดความคิดเห็น