ซีพีเอ็น ชูอินโนเวชันทางธุรกิจและไลฟ์สไตล์ แตกไลน์ธุรกิจใหม่แบรนด์ ‘Common Ground’ โคเวิร์กกิ้งสเปซเต็มรูปแบบ ร่วมทุนกับพันธมิตร คอมมอนกราวนด์ จากมาเลเซีย ทุ่มงบ 800 ล้านบาทรุก 20 สาขาทั่วประเทศใน 5 ปี พร้อมเปิดต้นปีหน้า เป็นจิ๊กซอว์สำคัญผลักดัน SMEs ไทยเติบโต ต่อยอดธุรกิจ และมาร์เกตเพลสกับซีพีเอ็น กลุ่มเซ็นทรัล และผู้เช่า
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ประกาศเดินหน้าขยายไลน์ธุรกิจใหม่แบรนด์ ‘คอมมอนกราวนด์’ (Common Ground) โคเวิร์กกิ้งสเปซเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างคอมมูนิตีผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ และต่อยอดวิสัยทัศน์การสร้าง Center of Life ศูนย์กลางการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ด้วยการร่วมทุนกับ Common Ground Group แบรนด์โคเวิร์กกิ้งสเปซที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งเป้าทุ่มงบ 800 ล้านบาทเปิด 20 สาขาใน 5 ปี เปิดสาขาแรกต้นปีหน้า มุ่งเป็น ‘คอมมูนิตีเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการหัวคิดใหม่ที่ดีที่สุด’ แห่งแรกในไทย ชูจุดแข็งความเป็นศูนย์การค้าอันดับหนึ่งของประเทศที่สามารถต่อยอดธุรกิจด้วยเน็ตเวิร์กและมาร์เกตเพลสของซีพีเอ็น และกลุ่มเซ็นทรัล พร้อมตอบรับชีวิตทำงานยุคใหม่ด้วย Holistic Lifestyle Integration เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพฮับแห่งเซาท์อีสต์เอเชีย และผลักดันเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งยั่งยืน
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากวิสัยทัศน์การสร้าง Center of Life ของเราในการเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ เราจึงขยายไลน์ธุรกิจใหม่แบรนด์ ‘คอมมอนกราวนด์’ (Common Ground) โคเวิร์กกิ้งสเปซเต็มรูปแบบ ซึ่งถือเป็น the New Generation of Innovative Coworking Community เพื่อเป็น ‘คอมมูนิตีเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการหัวคิดใหม่ที่ดีที่สุด’ แห่งแรกในไทย ด้วยการร่วมทุนกับคอมมอนกราวนด์ กรุ๊ป แบรนด์โคเวิร์กกิ้งสเปซที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้วยการตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาชื่อว่า คอมมอนกราวนด์ ไทยแลนด์ ทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท โดยทางซีพีเอ็นถือหุ้นสัดส่วน 51% และทางคอมมอนกราวนด์ถือหุ้น 29% และเอ็มเอสบี จากมาเลเซียถือหุ้น 20% โดยตั้งเป้าใช้งบประมาณ 800 ล้านบาท เปิดให้ได้ 20 สาขา รวมมากกว่า 50,000 ตารางเมตร ภายใน 5 ปีนับจากนี้ และคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี เปิดสาขาแรกต้นปีหน้า คาดว่าจะเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์เป็นแห่งแรก เป็นแฟลกชิปสโตร์ในปีหน้า ด้วยพื้นที่มากกว่า 4,500 ตารางเมตร เพื่อตอบรับเทรนด์ coworking space และ sharing economy กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 10 ปีข้างหน้า และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของธุรกิจโคเวิร์กกิ้งแห่งใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
นายอิศเรศ จิราธิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายขาย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเทรนด์ของโคเวิร์กกิ้งสเปซในไทยว่า ในปัจจุบันมีกลุ่มบริษัทโคเวิร์กกิ้งสเปซระดับนานาชาติจากต่างประเทศหันมาปักหมุดและลงทุนในประเทศไทย โดยปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ หนึ่ง เมกะเทรนด์ที่ไลฟ์สไตล์การทำงานของผู้คนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไปตาม Technology และ Flexibility โดยต้องการพื้นที่ทำงานที่มีความเป็น Collaborative Workspace รวมถึงการลดต้นทุนทางธุรกิจทำให้รูปแบบการทำงานของผู้ประกอบการ และบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลกจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
คาดว่าตลาด coworking space ในเอเชียจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 30% ในปี 2030 จากปัจจุบันที่มีตลาดอยู่ที่ 2% สอง อัตราการเติบโตของตัวเลขเอสเอ็มอีในประเทศไทย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูง 8-10% ต่อปี มากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยกว่า 1 ใน 6 มีธุรกิจอยู่ในกรุงเทพฯ หรือคิดเป็นกว่า 500,000 ราย โดยเอสเอ็มอีเหล่านี้ล้วนแต่มองหาสถานที่ทำงานในทำเลที่ดี หรือ prime location แต่การเข้าถึงออฟฟิศให้เช่าเกรด A ในกรุงเทพฯ เป็นไปได้ยากและมีราคาสูง เช่นเดียวกับบริษัทใหญ่ๆ ที่ต้องการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ทำให้โคเวิร์กกิ้งในรูปแบบของ ‘คอมมอนกราวนด์’ จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในเข้าถึงสถานที่ทำงานรูปแบบใหม่ หรือโคเวิร์กกิ้งสเปซที่เต็มไปด้วยบริการมาตรฐานเกรด A แต่ยังตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพเปี่ยมไปด้วยเครือข่ายทางธุรกิจ
มร.เออร์แมน อะคินซี หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งคอมมอนกราวนด์ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของคอมมอนกราวนด์ เผยว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเข้าใจผู้ประกอบการอย่างลึกซึ้งในประเทศไทย เราเชื่อว่าการผนึกกำลังในครั้งนี้กับเซ็นทรัลพัฒนาที่เป็นผู้นำการพัฒนาศูนย์การค้าของประเทศ และหนึ่งในบริษัทกลุ่มเซ็นทรัลจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ และสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ทำให้ผู้ประกอบการสามารถต่อยอดธุรกิจด้วยเน็ตเวิร์กและมาร์เกตเพลส พร้อมตอบรับชีวิตคนทำงานและไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ด้วย Holistic Lifestyle Integration ด้วยความแข็งแกร่งและกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายของกลุ่มเซ็นทรัล ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงแรม แบรนด์แฟชั่น ไลฟ์สไตล์และร้านอาหาร จะเป็นจุดแข็งด้านไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่น ครบครันและครอบคลุมที่สุดในประเทศไทย”
“การเปิดตัวคอมมอนกราวนด์ในประเทศไทยนี้ถือเป็นการเปิดตัวในต่างประเทศเป็นประเทศที่ 3 ในภูมิภาคนี้ โดยจะเป็นรีจินัลแฟลกชิปแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยขนาดพื้นที่ถึง 4,500 ตร.ม. ซึ่งจะตั้งอยู่ใน Bangkok CBD ซึ่งโคเวิร์กกิ้งสเปซรูปแบบใหม่นี้จะทำให้ผู้ประกอบการหรือบริษัทใหญ่ต่างๆ สามารถลดต้นทุน เนื่องจากไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างออฟฟิศแบบถาวร ตั้งอยู่ใน Prime location ทำให้ติดต่องานและหมุนเวียนเปลี่ยนโลเกชันได้สะดวก อีกทั้งมีความแตกต่างจากโคเวิร์กกิ้งสเปซอื่นๆ ด้วยจุดเด่นในการมอบไลฟ์สไตล์ที่ครบครันและสมบูรณ์แบบ (Enrich Lifestyle) ด้วยโลเกชันที่ใกล้กับศูนย์การค้าพร้อมสิทธิประโยชน์มากมายจากพันธมิตรทางธุรกิจและแบรนด์ต่างๆ ทั้งแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ร้านอาหาร ธนาคาร ฟิตเนส ที่จอดรถ ร่วมด้วยกิจกรรมอีเวนต์และไลฟ์สไตล์เวิร์กชอปมากมาย พร้อมต่อยอดการเติบโตทางธุรกิจ (Expand Business through our deep partnerships) ด้วยการได้ทดลองทำตลาด ทำจริง ขายจริง ในศูนย์การค้าของซีพีเอ็น และธุรกิจอื่นๆ ของกลุ่มเซ็นทรัล นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถใช้บริการได้ในทุกสาขาทั่วโลก และเพิ่มคอนเนกชันทางธุรกิจที่เปิดกว้างและหลากหลายกว่า” มร.เออร์แมน อะคินซี กล่าว
ทั้งนี้ รายได้จะมาจากการสมัครเป็นสมาชิกของผู้ใช้บริการ โดยมีค่าบริการหลากหลายทั้งฮอทเดสก์ ฟิกซ์เดสก์ เอนเตอร์ไพรส์ ไพรเวตรูม
มร.จุน เตียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมมอน กราวนด์และอีกหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง กล่าวถึงแผนการลงทุนของคอมมอนกราวนด์กรุ๊ปในระดับภูมิภาคว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าเราตั้งเป้าจะเติบโตกว่า 3 เท่าทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสำหรับประเทศไทยจะมีจำนวนสาขาทั่วประเทศกว่า 20 สาขา โดยกว่า 10 สาขาจะตั้งอยู่บน Prime Location ในกรุงเทพฯ ที่อยู่ในอาคารสำนักงานที่เชื่อมต่อกับศูนย์การค้าของซีพีเอ็น หรืออาคารสำนักงานให้เช่าอื่นๆ รวมถึงสาขาในหัวเมืองสำคัญ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต และ พัทยา เป็นต้น ทำให้ผู้ประกอบการสามารถใช้บริการในโลเกชันของเราได้ทั้งในและต่างประเทศ”
มร.เตียวกล่าวเพิ่มเติมว่า “คอมมอนกราวนด์เป็นรูปแบบใหม่ของโคเวิร์คกิ้งสเปซในประเทศไทย โดยจับกลุ่มเป้าหมายคนทำงานรุ่นใหม่ ได้แก่ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กลุ่มสตาร์ทอัพและฟรีแลนซ์ 80% และกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความต้องการทำงานในโคเวิร์กกิ้งสเปซ 20% การขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทยในครั้งนี้จึงมุ่งเข้ามาเพื่อสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ให้กับคนไทย เพื่อตอบรับ 6 เทรนด์โคเวิร์กกิ้งสเปซที่จะเกิดขึ้นในปี 2019 ทั่วโลกอีกด้วย ทำให้คอมมอนกราวนด์เป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซเต็มรูปแบบที่ตอบโจทย์เทรนด์ระดับโลกทั้ง 6 ประการ เพื่อสร้างคอมมูนิตีผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย”
มร.เตียวกล่าวเพิ่มเติมถึง 6 เทรนด์โคเวิร์กกิ้งสเปซที่จะเกิดขึ้นในปี 2019 ทั่วโลก ได้แก่ ในระดับนักลงทุนธุรกิจโคเวิร์กกิ้ง คือ
เทรนด์การเข้ามาลงทุนทำ Coworking space จะเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความครบครันให้กับโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสของกลุ่มบริษัทอสังหาริมทัพย์
เทรนด์โลคัลแอคโกลบอล หรือการผสมผสานอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของผู้ประกอบการในท้องถิ่นเข้ากับความเชี่ยวชาญการจัดการในระดับนานาชาติจากโกลบอลแบรนด์ในระดับผู้ประกอบการยุคใหม่
กระแส Work-Life Balance ในคนยุคใหม่
เทรนด์การชอบใช้พื้นที่การทำงานที่สามารถปรับเปลี่ยนได้และช่วยจุดประกายต่อยอดโอกาสธุรกิจ (Flexible & Hyper Competitive Space)
เทรนด์ความต้องการเชื่อมต่อเน็ตเวิร์กด้วยเทคโนโลยีและระบบบล็อกเชนในพื้นที่การทำงาน
เทรนด์ที่กลุ่มบริษัทใหญ่ๆ (Corporate) เริ่มมองหาพื้นที่การทำงานในรูปแบบใหม่เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้กับองค์กร รวมถึงการลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ