ผู้จัดการรายวัน 360 - “ดีเคเอสเอช” ยกไทยตลาดหลักในเอเชียแปซิฟิก ลงทุนในไทยมากสุด โหมหนักกลุ่มลักชัวรีและไลฟ์สไตล์เจาะมิลเลนเนียม ปีนี้ลุยหนักนำร่องได้ 4 แบรนด์ใหม่เสริมทัพ ทั้ง “บาลลี่ย์-ลามี่-เบลล์รอย” สิ้นปีเปิดเผยอีกแบรนด์จากอิตาลี
MR. FRANCK GIACOBINI - VP, LUXURY & LIFESTYLE, DKSH ASIA PACIFIC กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งหนึ่งของดีเคเอสเอชในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก และเงินลงทุนส่วนใหญ่ของดีเคเอสเอชจะมาลงทุนในไทยมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสินค้าลักชัวรีและไลฟ์สไตล์ก็เป็นกลุ่มตลาดที่น่าสนใจ และไทยก็เป็นตลาดที่มีคนรุ่นใหม่ที่มีอำนาจในการซื้อ
ดีเอเอสเอชมีแผนที่จะให้ความสำคัญต่อกลุ่มนี้มากขึ้นด้วย โดยจะสร้างยอดขายเพิ่มเป็น 2 เท่าภายใน 2 ปีนี้
นายดักลาส ฮัมฟรีย์ ประธาน บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด (MR. DOUGLAS HUMPHREY - PRESIDENT OF DKSH THAILAND เปิดเผยว่า ดีเคเอสเอชยังลงทุนในตลาดประเทศไทยต่อเนื่อง ทั้งด้านการสร้างช่องทางจำหน่ายให้กับสินค้าของพันธมิตร การทำตลาด การนำสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดในไทย
ประเทศไทยยังเป็นตลาดสำคัญของดีเคเอสเอชด้วย และสินค้ากลุ่มลักชัวรีและไลฟ์สไตล์ในไทยจัดอยู่ในหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคก็เป็นกลุ่มที่เติบโตสูงสุดและมียอดขายมากสุดในดีเคเอสเอชทั่วโลกด้วย โดยแบรนด์เก่าโต 2 หลัก ส่วนอีก 3 แบรนด์ใหม่ก็มียอดขายที่เติบโตดีเช่นกัน
นางสาววรรณชื่น ทองเย็น ผู้จัดการอาวุโส แผนกลักชัวรีและไลฟ์สไตล์ บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้ตลาดกลุ่มมิลเลนเนียมเป็นตลาดที่มีบทบาทสำคัญและเติบโตเร็วมาก ซึ่งบริษัทฯ ก็จะขยายตลาดกลุ่มนี้มากขึ้นด้วยการขยายสินค้าในกลุ่มลักชัวรีและไลฟ์สไตล์แยกออกมาให้โดดเด่นและเป็นเฉพาะมากขึ้น จากเดิมที่อยู่ในหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค
ในรอบปี 2561 นี้บริษัทฯ ได้สร้างพอร์ตโฟลิโอของสินค้ากลุ่มลักชัวรีและไลฟ์สไตล์ให้แข็งแกร่งมากขึ้น และสร้างความสมดุลในพอร์ต โดยได้เริ่มเป็นตัวแทนจำหน่ายนำเข้าสินค้าประเภทแบรนด์เครื่องหนัง ทั้งระดับราคาพรีเมียม ไปถึงลักชัวรีและแบรนด์เครื่องเขียนๆ ไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับกลุ่มมิลเลนเนียมด้วย
“สินค้าที่เราได้มาใหม่นี้ส่วนใหญ่ก็ต้องการที่จะขยายไปยังกลุ่มมิลเลนเนียมมากขึ้นด้วย ซึ่งกลุ่มนี้มีอายุ 30 ปีขึ้นไป มีอำนาจการใช้จ่าย รายได้สูง และต้องการสินค้าที่เป็นไลฟ์สต์มากขึ้น หรือแม้แต่แบรนด์เดิมก็เช่นกัน เช่น มอริส ลาครัวซ์ ราคาก็อยู่ในระดับ 60,000-100,000 บาท”
ล่าสุดปีนี้บริษัทฯ ได้สินค้าใหม่ในกลุ่มนี้อีก 3 แบรนด์ คือ เครื่องหนัง บาลลี่ย์ (BALLY) จากสวิตเซอร์แลนด์, เครื่องเขียน ลามี่ (LAMY) จากเยอรมนี และอีกแบรนด์คือ เครื่องหนังพรีเมียมไลฟ์สไตล์ เบลล์รอย (BELLROY) จากออสเตรเลีย
ภายในสิ้นปี 2561 นี้จะเปิดตัวอีกแบรนด์เป็นเครื่องหนังจากอิตาลี จากเดิมที่กลุ่มนี้มีแล้ว 3 แบรนด์แต่หนักไปทางด้านลักชัวรีที่ทำตลาดมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว คือ มงต์บลังค์ (MONTBLANC), นาฬิกา มอริซ ลาครัวซ์ ( MAURICE LACEROIX) และปีที่แล้วได้แบรนด์ แอคเนอร์ (AIGNER)
ในส่วนของช่องทางการจำหน่าย ซึ่งจะขยายให้ครอบคลุมทุกช่องทาง ทั้งค้าปลีก ที่เป็นชอปและเป็นเคาน์เตอร์แบรนด์, ช่องทางองค์กรหรือบีทูบี, ออนไลน์, เอาต์เลต โดยแบรนด์แอคเนอร์เพิ่งทำปีที่แล้ว ได้เปิดบูติกชอปที่เกษร และที่เซ็นทรัลบางนา เซ็นทรัลชิดลม และป็อปอัพที่สยามดิสคัฟเวอรี่เดือนหน้า, ส่วนบาลลี่ย์ได้เปิดป็อปอัพที่สยามพารากอน เปิดคอร์เนอร์ที่สยามดิสคัฟเวอรี่เดือนหน้า และจะเปิดแฟลกชิปสโตร์ของบาลลี่ย์ที่ไอคอนสยาม ลงทุน 30 ล้านบาท พื้นที่ 200 ตารางเมตร
ขณะที่แบรนด์ลามี่ เริ่มทำตลาดเดือนพฤษภาคมปีนี้ ตอนนี้มีจุดขายมากกว่า 100 จุดแล้ว ล่าสุดเปิดป็อปอัพที่เมกาบางนา นอกนั้นดีเคเอสเอชจะขยายช่องทางออนไลน์มากขึ้นให้กับทุกแบรนด์ โดยมีพันธมิตรหลักเครือบริษัทเอคอมเมิร์ซที่จะทำตลาดอี-ชอป ซึ่งคาดว่าภายในปีหน้าจะเพิ่มจุดขายมากขึ้นอีก 30% จากขณะนี้