“ปูนซิเมนต์ไทย” วางแผนรับมือสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ และความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลก เร่งทบทวนการลงทุนโครงการที่อยู่ระหว่างตัดสินใจส่อแววชะลอการลงทุนไปก่อน ส่วนงวด 9 เดือนแรกปีนี้มีกำไร 34,281 หมื่นล้านบาท ลดลง 19%
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ติดตามสถานการณ์สงครามการค้าจีน-สหรัฐอเมริกา รวมทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่องซึ่งมีผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวม ดังนั้น บริษัทจึงปรับตัวรับมือสถานการณ์ดังกล่าวด้วยแผน 6 ด้าน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ ประกอบด้วย 1. การขยายโอกาสส่งออกตามทิศทางตลาดโลก โดยมองว่าเป็นโอกาสที่จะเจาะตลาดส่งออกไปยังจีนและสหรัฐเพิ่มมากขึ้นทั้งในผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและเคมีภัณฑ์
2. ทบทวนโครงการลงทุนและต้นทุนการลงทุน โดยโครงการที่ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและยังไม่ตัดสินใจลงทุนก็จะชะลอการลงทุนออกไปก่อน รวมทั้งจะตัดขายธุรกิจที่ไม่สามารถแข่งขันได้หรือเข้มแข็งไม่พอออกไป แต่ถ้าเป็นโครงการที่ตัดสินใจหรือทำสัญญาลงทุนแล้วก็จะเร่งรัดให้โครงการแล้วเสร็จเร็วขึ้นและหาแนวทางลดเงินลงทุนลง เช่นโครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP ประเทศเวียดนาม 3. การบริหารจัดการต้นทุนพลังงาน โดยจะทำสัญญาซื้อขายถ่านหินล่วงหน้าเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน รวมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงงานเพื่อลดต้นทุนเช่นการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโรงงานโดยสามารถจ่ายไฟได้แล้ว 38 เมกะวัตต์
4. การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 5. พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม และ 6. การเพิ่มประสิทธิภาพเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สอดคล้องกับแผนการลงทุน
นายรุ่งโรจน์กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯ ปรับลดงบลงทุนลงเหลือ 4-4.5 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่เคยวางเป้าไว้ราว 5 หมื่นล้านบาท โดย 9 เดือนแรกปีนี้ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 3.5 หมื่นล้านบาท และปีหน้าวางเป้างบลงทุนไว้ที่ 5-6 หมื่นล้านบาท
ด้านผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 122,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 9,473 ล้านบาท ลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี 1,670 ล้านบาท จากธุรกิจซีเมนต์ที่ลงทุนในประเทศอินโดนีเซียซึ่งได้รับผลกระทบจากค่าเงินที่อ่อนค่าลง และต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลก ส่วนงวด 9 เดือนแรกปี 2561 บริษัทมีรายได้จากการขาย 361,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 34,281 ล้านบาท ลดลง 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน