ผู้จัดการรายวัน 360 - อิทธิฤทธิ์ “นาคี 2” ฟื้นหนังไทย มั่นใจโกยเงินทะลุเป้า 500 ล้านบาท หลัง 4 วันทำได้ 200 ล้านบาท ซิวหนังไทยที่ทำรายได้ 100 ล้านบาท เร็วสุดในรอบ 10 ปี พร้อมดันตลาดหนังไทยโต 100% ส่งรายได้รวมบ็อกซ์ออฟฟิศ 10,000 ล้านบาท โต 5-6% “เอ็ม พิคเจอร์ส” เดินเกมรุก ทุ่มงบร่วม 400 ล้านบาทส่งหนังไทย 12 เรื่องถล่มปี 62
**ผ่าสูตรสำเร็จ “นาคี 2” หนังไทย 500 ล้าน
ปรากฏการณ์ภาพยนตร์ไทยเรื่อง “นาคี 2” หลังเข้าฉาย 4 วัน ทำรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศ 200 ล้านบาท โดย 2 วันแรกทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท ถือเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกในรอบ 10 ปี ที่ทำรายได้ถึง 100 ล้านบาท ได้เร็วที่สุด และเป็นสถิติที่ดีกว่า “พี่มากพระโขนง” ที่ทำไว้ 100 ล้านบาท ใน 3-4 วัน นอกจากนี้ นาคี 2 ยังเข้าฉายในประเทศเพื่อนบ้านในลาว พร้อมกับไทยด้วย สถิติ 4 วันที่ผ่านมา ทำรายได้กว่า 120,000 USD ภายใต้เป้า 300,000 USD ทั้งนี้ ตลาด CLMV ทาง เอ็ม พิคเจอร์ จะเป็นคนดูแล ส่วนตลาดต่างประเทศที่เหลือ ทางเจเคเอ็นได้สิทธิ์ทำการตลาดในรูปแบบออลไรต์ทั้งหมด
การที่ “นาคี 2” ประสบความสำเร็จเกิดจากการวางแผนที่ดีและปัจจัยบวกต่างๆ ได้แก่ 1. คอนเทนต์ที่ถูกจริตคนไทย เป็นเรื่องที่คนไทยสนใจและอยากดู 2. การทำตลาด ตั้งแต่เรื่องการโปรโมต ตัวนักแสดง และไทมิ่งของการเข้าฉาย 3. จำนวนโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัดที่เพิ่มสูงขึ้น โดยพบว่าโรงภาพยนตร์ต่างจังหวัดที่นาคี 2 ทำรายได้สูงสุดในช่วง 4 วันที่ผ่านมา คือ ที่จังหวัดอุดรธานี ส่วนในกรุงเทพฯ ที่ทำรายได้สูงสุด คือ แฟชั่น ไอส์แลนด์ และ เมกะ บางนา ตามลำดับ ซึ่งรายได้มาจาก กทม. และต่างจังหวัด 50% เท่าๆ กัน
“นาคี 2” จึงจัดเป็นตัวอย่างภาพยนตร์ไทยที่มีการวางแผนที่ดี และประสบความสำเร็จตามแผนที่คาดไว้ เป็นบทพิสูจน์ว่าเทรนด์ภาพยนตร์ไทยมีอนาคตที่ดีขึ้น หรือแนวโน้มภาพยนตร์ที่มีโอกาสทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท ในแต่ละปีจะมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น
นายพรชัย ว่องศรีอุดมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายภาพยนตร์และต่างประเทศ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพยนตร์นาคี 2 เป็นแนวทริลเลอร์แฟนตาซี ที่เป็นการลงทุนร่วมกันของ เอ็ม พิคเจอร์ กับพาร์ตเนอร์ โดยใช้งบลงทุนราว 70-80 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 500 ล้านบาท ในช่วง 4-6 สัปดาห์ของการเข้าฉาย แต่ผ่านไปเพียง 4 วัน มีรายได้แล้วกว่า 200 ล้านบาท ดังนั้น ตลอดช่วงเวลาการฉายทั้งหมดคาดว่าจะทำรายได้สูงกว่าเป้าที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม ตลอด 9 เดือน ปี 2561 ที่ผ่านมา มีภาพยนตร์ไทยเข้าฉายแล้วกว่า 31 เรื่อง และยังเหลืออีก 12 เรื่องที่เตรียมเข้าฉายในไตรมาสสุดท้ายนี้ ส่งผลให้ปีนี้มีจำนวนภาพยนตร์ไทยเข้าฉายทั้งหมด 43 เรื่อง น้อยกว่าปีก่อนที่มี 48 เรื่อง แต่ปี 2561 นี้ ในแง่ภาพรวมรายได้กลับโตขึ้น 100% หรือคาดการณ์ว่าจะทำได้ 2,000 ล้านบาท
เนื่องจากปีนี้มีภาพยนตร์ไทยทำเงินทะลุ 100 ล้านบาท หลายเรื่อง โดยเฉพาะนาคี 2 ที่คาดว่าจะทำได้กว่า 500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของรายได้รวมภาพยนตร์ไทย 2,000 ล้านบาทในปีนี้ และถือเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปีนี้ด้วย
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าปีนี้จะมีภาพยนตร์ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท อย่างน้อย 8 เรื่อง โดย 9 เดือนที่ผ่านมาทำได้ 3 เรื่อง คือ ไบค์ แมน ศักรินทร์ตูดหมึก 142 ล้านบาท, ขุนพัน 2 รายได้ 125 ล้านบาท และ ๙ ศาสตรา 111 ล้านบาท ส่วนไตรมาสสุดท้ายนี้ คาดว่า จะมีอีก 3-4 เรื่อง คือ โฮมสเตย์, โนราห์ และ ขุนบันลือ รวมถึง นาคี 2 ที่กำลังเข้าฉายอยู่ในปัจจุบัน
ขณะที่ปีก่อนมีภาพยนตร์ไทยทำเงิน 100 ล้านบาท ได้เพียง 3 เรื่องเท่านั้น และส่วนใหญ่ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้
ทั้งนี้ ภาพรวมภาพยนตร์จากบ็อกซ์ออฟฟิศทั้งภาพยนตร์ไทยและเทศ ปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท โต 5-6% แบ่งเป็นภาพยนตร์ไทย 20% และต่างประเทศ 80% ซึ่งสูงสุดที่เคยทำไว้ถึง 3,000 ล้านบาทเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนปีก่อนภาพยนตร์ไทยทำได้เพียง 11% หรือเฉลี่ยต่อเรื่องทำรายได้อยู่ที่ 18 ล้านบาท ส่วนปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 50 ล้านบาท และปีหน้าคาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปีนี้ ภายใต้ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 30-40 ล้านบาทต่อเรื่อง
“ทิศทางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยหลังจากนี้มีโอกาสเติบโตสูง ทั้งในแง่ของรายได้ที่คาดว่าจะทำได้เกิน 100 ล้านบาทมากขึ้น รวมถึงจำนวนการผลิตในแต่ละปี เนื่องจากมีผู้เล่นใหม่ทั้งจากต่างประเทศและโลคัลเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น และส่วนสำคัญของการที่ภาพยนตร์ไทยประสบความสำเร็จ คือ 'รูปแบบการนำเสนอคอนเทนต์ที่คนไทยอยากดู มากกว่านำเสนอคอนเทนต์ที่คนทำหนังอยากทำ' เป็นการเจาะลึกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น มีมุมมองและรูปแบบการนำเสนอใหม่ๆ โปรดักชันที่ดีจากผู้เล่นใหม่ๆ ที่เข้ามาลงทุน การทำตลาดแบบเจาะจงและเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงจำนวนโรงภาพยนตร์ที่เข้าถึงคนต่างจังหวัดมากขึ้น หรือทั้งประเทศน่าจะมีโรงภาพยนตร์เกิน 1,000 โรงแล้วในขณะนี้” นายพรชัยกล่าว
**“เอ็ม พิคเจอร์” ชูร่วมทุน อัด 400 ล้าน ลุยปี 62
นายพรชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของ เอ็ม พิคเจอร์ จะเน้นการลงทุนการผลิตภาพยนตร์ไทยมากขึ้น โดยการหาพันธมิตรทั้งไทยและเทศร่วมทุนกัน อย่างที่ผ่านมามีทั้งทุนไทย เกาหลี รวมถึงสิงคโปร์ เป็นต้น
ในปี 62 พร้อมใช้งบลงทุนทั้งหมดกว่า 400 ล้านบาท แบ่งเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศ 100 ล้านบาท และภาพยนตร์ไทย 300 ล้านบาท ในการผลิตภาพยนตร์ไทยอย่างน้อย 12 เรื่อง จากปีนี้ 10 เรื่อง เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งโรแมนติก, คอเมดี, ดรามา และสยองขวัญ เช่น รักไม่เป็นภาษา, สิ้นสามต่อน, บุษบา, คืนยุติธรรม, สตอจิ้มแจ่ว, ฟ้าฟื้น, Music High School, แสงกระสือ, โปรเมย์, Our Love Forever, ขจร-ดาหลา Romantic, Protrait of Beauty
ส่วนรายได้ในปีนี้ เชื่อว่า จะมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากนาคี 2 ส่วนจะทำได้สูงแค่ไหนยังสรุปไม่ได้ เนื่องจากไตรมาสสามยังมีภาพยนตร์ไทยของ เอ็ม พิคเจอร์ รอเข้าฉายอีก 3 เรื่อง คือ โนราห์, Gravity of Love, สิงสู่ และ ขุนบันลือ