xs
xsm
sm
md
lg

“โอสถสภา” รุกลงทุน “จีน-เวียดนาม”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการรายวัน 360 - “โอสถสภา” เปิดเกมรุก คาดดีเดย์เข้าตลาดหลักทรัพย์เดือนหน้า มุ่งหน้าลงทุนขยาย ตปท. โฟกัสจีนกับเวียดนาม ศึกษาโมเดลรุก ยันฐานะทางการเงินยังแกร่ง แต่รายได้ลดลงเพราะตัดขายธุรกิจทิ้งหลายอย่าง



นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในฐานะเป็นเจเนอเรชันที่ 4 ของตระกูลโอสถานุเคราะห์ที่ยังบริหารโอสถสภาอยู่ ผมอยากให้โอสถสภาที่วันนี้อายุ 127 ปีแล้วเป็นบริษัทที่มีความยั่งยืนมากขึ้น เป็นมืออาชีพมากขึ้น บริษัทไม่ได้ต้องการเติบโตเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น จึงต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพ ก็เป็นเรื่องปกติ เข้าตลาดฯ เพื่อนำเงินมาใช้หนี้และขยายธุรกิจ และมองหาโอกาสอื่นๆ”

นางสาวพรธิดา บุญสา รองกรรมการผู้จัดการสายการเงิน กล่าวว่า ผลประกอบการโอสถสภาครึ่งแรกปี 2561 มียอดรายได้รวม 12,543 ล้านบาท ต่ำกว่าปีที่แล้วช่วงเดียวกันที่มี 13,133 ล้านบาท ส่วนปีที่แล้วทั้งปีมีรายได้รวม 26,210 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า รายได้ของโอสถสภาเคยสูงถึง 32,044 ล้านบาทมาแล้วเมื่อปี 2558 และเพิ่มเป็น 33,003 ล้านบาทเมื่อปี 2559 นางสาวพรธิดาให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาเรามีการปรับตัวปรับโครงสร้างธุรกิจอยู่ตลอดเวลา การที่มีรายได้ลดลงเนื่องจากเรามีการตัดทิ้งธุรกิจบางอย่างออกไป เช่น ในปี 2560 เดือนมีนาคมได้ยกเลิกการเป็นดิสทริบิวเตอร์ให้กับยูนิชาร์ม รวมทั้งการขายหุ้นที่ถืออยู่ในธุรกิจมีเดียและเอเยนซี เช่น ฟิวเจอร์กรุ๊ป หรือ สปา เป็นต้น ทำให้รายได้หายไปส่วนหนึ่ง เพื่อที่จะได้มาเน้นการทำธุรกิจหลัก 4 กลุ่มที่มีอยู่ ขณะที่เมื่อปีที่แล้วมีการปิดโรงงานผลิตขวดแก้วเพื่อปรับปรุง ส่งผลกระทบต่อรายได้ในการผลิตขวดแก้วหายไปจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้เรามีหนี้สินประมาณ 5,000 กว่าล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ยังมีความแข็งแกร่ง โดยพิจารณาจากผลกำไร พบว่าปีที่แล้วกำไรรวม 2,833 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีแรกปีนี้กำไร 1,444 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีแรกปีที่แล้วกำไร 1,733 ล้านบาท

“เมื่อปีที่แล้วเราได้ตั้งโปรแกรมใหม่ขึ้นมาชื่อว่า ฟิตเนสเฟิร์สท เพื่อสร้างกำไรโตต่อเนื่อง มีการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน ดูแลกำไร ทำเรื่องราคาต้นทุนวัตถุดิบ ค่าเช่าลอจิสติก การบริหารจัดการ และการผลิตด้วย”

นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า กลยุทธ์ธุรกิจจะเน้นไปที่ 4 กลุ่มหลักเดิม คือ 1. เครื่องดื่มที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์ สัดส่วนรายได้ 73.3%, 2. สินค้าของใช้ส่วนบุคคล สัดส่วน 8.5%, 3. การบริหารซัปพลายเชน สัดส่วน 14.1%, 4. กลุ่มการขายสินค้าอื่นๆ และการให้บริการ สัดส่วน 4.1% จากรายได้รวมปีที่แล้ว (2560) ประมาณ 26,210.7 ล้านบาท


“บริษัทฯ จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมส่งสินค้าไปขายมากกว่า 25 ประเทศทั่วโลก และมีการลงทุนในซีแอลเอ็มวีบ้าง เช่น ลงทุน 2,400 ล้านบาทสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มในพม่า เสร็จปีหน้า ซึ่งตอนนี้เราจ้างโออีเอ็มผลิต ส่วนในกัมพูชาจะมีการขยายเครือข่ายจัดจำหน่าย ปรับรูปแบบสินค้า ขยายตลาดสินค้าเด็ก ส่วนในอินโดนีเซียจะทำวิจัยตลาดเพื่อปรับตำแหน่งสินค้า ในลาวจะขยายการจัดจำหน่าย เพิ่มตลาดสินค้าเด็ก จากนี้จะขยายการลงทุนไปยังตลาดจีนและเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มีโอกาสมากแต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ต้องไปอย่างรอบคอบและพิจารณาโมเดลการลงทุนที่เหมาะสมที่สุด ขณะที่ตลาดในไทยจะขยายสินค้าพอร์ตโฟลิโอต่อเนื่อง ไม่ได้มุ่งเน้นที่ชูกำลังเท่านั้น ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอยู่แล้วด้วยส่วนแบ่งกว่า 54.4% จากแบรนด์ เอ็ม150 ลิโพวิตันดี ชาร์ก เป็นต้น”





นายวรารัตน์ ชุติมิต กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียน 3,003,750,000 บาท เป็นหุ้นสามัญ จำนวน 3,003,750,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาทต่อหุ้น โดยมีทุนที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด 2,497,000,000 บาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,497,000,000 หุ้น และเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและหุ้นสามัญเดิม จำนวนไม่เกิน 603.75 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 506.75 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม (บริษัท Orizon Limited และ บริษัท Y Investment) จำนวนไม่เกิน 67,000,000 หุ้น และ 30,000,000 หุ้น ตามลำดับ คิดเป็นไม่เกิน 20.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก


นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ช่วงราคาเสนอขายหุ้น 22-25 บาทต่อหุ้น นักลงทุนทั่วไปจะต้องจองซื้อหุ้นไอพีโอราคา 25 บาทต่อหุ้น



กำลังโหลดความคิดเห็น