กรมทางหลวงเล็งแก้กม.เพิ่มโทษรถบรรทุกน้ำหนักเกิน เน้นเจ้าของรถและสินค้า ปรับหนักสูงสุด 5แสนถึงยึดรถ จากเดิมมุ่งจับ”โชเฟอร์“ติดคุก ไม่แก้ที่สาเหตุ “ธานินทร์”เผย 2 ปีกว่า เข้มงวดหนัก สถิติจับกุมเกือบหมื่นคัน ก่อสร้างสถานีตรวจสอบน้ำหนัก สร้างความตระหนัก แก้ปัญหาถนนพังเป็นรูปธรรม ขณะที่ เปิด” ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ”ลดเวลาขออนุญาตวิ่งรถขนเครื่องจักรใหญ่ เหลือ 15 วัน
นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไขพ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 เรื่องน้ำหนักบรรทุกในประเด็นบทลงโทษ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันยังพบการบรรทุกน้ำหนักเกินที่กำหนดจำนวนมาก ทำให้ถนนเกิดความชำรุดเสียหาย โดยกฎหมายเดิมจะเน้นการลงโทษที่คนขับ ทั้งปรับ ทั้งจำคุก ปัญหาในการตรวจสอบรถบรรทุก ที่ผ่านมา คนขับไม่ให้ความร่วมมือ จะหนี ทิ้งรถ แม้บางครั้งเจ้าหน้าที่กรมฯ ขึ้นไปบนรถเพื่อไปโรงพัก คนขับเปิดประตูกระโดดหนี ทิ้งรถให้ชนก็มี เพราะคนขับกลัวติดคุก แต่กฎหมายที่ปรับใหม่จะเน้นเพิ่มโทษเจ้าของผู้ประกอบการ เจ้าของสินค้า มากขึ้น
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด เช่น อัตราค่าปรับเพิ่มขึ้นตามน้ำหนักที่เกิน เช่น บรรทุกเกินจากที่กฎหมายกำหนดตันละ 1 หมื่นบาท โดยสูงสุดค่าปรับที่ 5 แสนบาท หากเกิน 20 ตันถูกยึดรถเป็นต้น ทั้งนี้จะรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ประกอบการ สมาคมรถบรรทุก และสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และแจ้งแนวทางที่จะมีการปรับปรุงให้ทราบ เพื่อขอความร่วมมือ ซึ่งหากปรับปรุงรายละเอียดแล้วเสร็จ จะเสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)และกฤาฎีกาตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 1 ปี
“ปัจจุบัน หากตรวจพบบรรทุกน้ำหนักเกิน คนขับจะถูกลงโทษหนัก จำคุก โดยหากฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000ทำให้คนขับไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ จึงมักพบ คนขับทิ้งรถหนี บางครั้งเจ้าหน้าที่กรมฯ ขึ้นไปบนรถเพื่อพาไปโรงพัก คนขับยังเปิดประตูกระโดดหนี ทิ้งรถให้ชนก็มี เพราะคนขับกลัวติดคุก แต่กฎหมายที่ปรับใหม่จะเน้นไปที่ผู้ประกอบการเจ้าของรถ เจ้าของสินค้า จะทำให้คนขับให้ความร่วมมือมากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กรมฯได้ดำเนินมาตรการควบคุมน้ำหนักรถบรรทุกอย่างเข้มงวดและเป็นรูปธรรม โดยในปีงบประมาณ 60-61(ต.ค.59-ก.ย.61) มีสถิติการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกิน 9,243 คัน ถือเป็นการจับกุมได้มากเป็นประวัติการณ์ จากเดิมที่จับกุมได้ประมาณปีละ 1,000 กว่าคันเท่านั้น ซึ่งต้องยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ต้องพบกับผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นต่างๆ แต่ถือเป็นการดำเนินการด้วยความถูกต้องและได้มาตรฐาน และได้รับความร่วมมือกับผู้ประกอบการมากขึ้น
นอกจากนี้ยังก่อสร้างสถานีตรวจสอบน้ำหนัก 3 แห่ง ที่ อุบลราชธานี มหาสารคาม และสุรินทร์ และก่อสร้างจุดพักรถ (Rest Area) อีก11 แห่ง ที่ นครราชสีมา 2 แห่ง ,ขอนแก่น, บุรีรัมย์, สุรินทร์, อุบลราชธานี, อุดรธานี, สระบุรี, นครสวรรค์, เพชรบูรณ์, ชุมพร
***เปิดศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ลดเวลาขออนุญาตรถขนเครื่องจักรใหญ่ วิ่งบนทางหลวง
นายธานินทร์กล่าวอีกว่า ขณะนี้กรมทางหลวงได้จัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (ONE STOP SERVICE CENTER) ในการขออนุญาตเครื่องจักรเครื่องกล เช่น รถขุด รถตัก และมีน้ำหนักยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุกหรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือการขนย้ายเครื่องจักรในงานก่อสร้างและงานบำรุงรักษาต่างๆ ซึ่งรถดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นพิเศษ ขนาดใหญ่ บรรทุกเครื่องจักรขนาดใหญ่การวิ่งบนทางหลวงได้จะต้องทำการขออนุญาตเดินรถพิเศษ บนทางหลวงพิเศษ ทางหลวงแผ่นดิน และทางหลวงสัมปทานกับกรมทางหลวง
ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีสถิติการขออนุญาตเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ตามนโยบายของรัฐบาล การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service เพื่ออำนายความสะดวก จากเดิมที่การอนุญาตดำเนินการต้องใช้ระยะเวลานาน เพราะต้องผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนเช่นเส้นทางเดินรถต้นทาง ถึงปลายทาง จะต้องมีการคำนวณและได้รับการรับรองจากวิศวกรในด้านต่างๆ เช่น เรื่องโครงสร้างสะพานว่ารถจะผ่านได้หรือไม่ มีความปลอดภัยแค่ไหน ลักษณะกายภาพของถนน ฯลฯ ตลอดจนรูปแบบการบริหารด้านความปลอดภัยในการใช้ทางหลวง
ซึ่งตั้งแต่รับตำแหน่งอธิบดีกรมทางหลวง เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ได้สั่งการในประเด็นของขั้นตอนการอนุญาตเดิมใช้เวลาถึง 61 วัน ให้หาวิธีการเพื่อลดระยะเวลาเหลือ 15 วัน เพื่ออำนวยความสะดวกกับผู้ประกอบการ ซึ่งขณะนี้ ในส่วนของเอกสาร กรมฯพัฒนาจนสามารถอนุญาตได้ภายใน 15 วันแล้ว อย่างไรก็ตามคาดว่าจะให้บริการได้เต็มรูปแบบพร้อมสถานที่ได้ในต้นเดือนพ.ย. 2561 และจะพัฒนาระบบออนไลน์ ให้สมบูรณ์ ซึ่งจะอนุญาตได้ไม่เกิน 7 วันในอนาคต
สำหรับศูนย์ฯดังกล่าว ตั้งอยู่ที่ ณ อาคารจอดรถ 6 ชั้น ชั้น 1 กรมทางหลวง ถนนพระรามหก แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
“กรมฯมีการปรับเปลี่ยนการทำงานตั้งแต่ปี 2560 มีผู้ขออนุญาตรถในการบรรทุกขนาดใหญ่ เพิ่มจาก10 กว่าราย เป็น 100 รายและช่วงครึ่งปีแรก 2561 มีการขออนุญาตแล้ว 130 ราย เดิมมีการแอบวิ่งมาก เมื่อระบบดี ผู้ประกอบการเข้าใจปัญหาและมีบริการที่รวดเร็ว ได้รับความร่วมมืออย่างดี”
ที่ผ่านมา การขนเครื่องจักรขนาดใหญ่จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ผู้ประกอบการต้องสำรวจเส้นทางที่จะขนส่งเอง แต่ปัจจุบัน กรมฯมี Big data รวมข้อมูล ทั้งโครงข่ายถนนหลวง ถนนของกรมทางหลวงชนบท เข้ามารวมไว้เพื่อชี้เส้นทางให้ผู้ประกอบการ ได้เห็นภาพรวมของเส้นทางที่เหมาะสม ระหว่างทางมีกี่สะพาน รับน้ำหนักได้เท่าไร มีกี่ช่องลอด ความสูงเท่าไร เพื่อกำหนดจำนวนเพลาของตัวหางลากที่ถูกต้อง ขณะที่สามารถควบคุมการเดินรถด้วยระบบ GPS ซึ่งได้ร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเส้นทางที่เป็นของกรมทางหลวงชนบท ผู้ประกอบการจะต้องขออนุญาตที่กรมทางหลวงชนบทด้วย