“ไทยสมายล์” เพิ่มความสะดวกลูกค้า เตรียมเปิดบริการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์(e-Tax Invoice) เป็นสายการบินแรก ส่วนค่าตั๋วจ่ายผ่าน QR CODE ที่ศูนย์บริการลูกค้า 13 จุดทั่วประเทศได้ แถมกรอกข้อมูลออกใบเสร็จได้เอง แก้ปัญหาข้อมูลผิดพลาด
นางชาริตา ลีลายุทธ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยสมายล์ เปิดเผยว่า สายการบินไทยสมายล์ได้เพิ่มช่องทางอำนวยความสะดวกในการชำระค่าตั๋วเครื่องบินให้แก่ผู้โดยสารด้วย QR CODE ผ่านแอปพลิเคชัน K-PLUS และโมบายล์แบงกิ้งของทุกธนาคารแล้ว ที่ศูนย์บริการลูกค้าไทยสมายล์ (Smile Service Center) 13 จุดทั่วประเทศ โดยเป็นระบบที่มีความปลอดภัยสูง สะดวกสบาย และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับลูกค้า และสนับสนุนนโยบายสังคมไร้เงินสดอีกด้วย
นอกจากนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มองค์กร (Corporate Customer) และกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 20-30% ที่จำเป็นต้องนำใบเสร็จรับเงินโดยเปิดให้บริการ e-Receipt ซึ่งลูกค้าสามารถกรอกข้อมูลส่วนตัวประกอบกับข้อมูลการเดินทางกับไทยสมายล์ผ่านเว็บไซต์ www.thaismileair.com โดยใช้เวลาดำเนินการ 2-3 นาทีก็จะได้ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเซฟเก็บลงในมือถือหรือคอมพิวเตอร์ หรือพรินต์ออกมาเพื่อนำไปใช้งานได้ทันที ผู้โดยสารได้รับเอกสารเร็วขึ้น ไม่ต้องเสียเวลารอ ขณะเดียวกันก็ช่วยแก้ปัญหาความผิดพลาดในการกรอกข้อมูลได้อีกด้วย โดยหลังจากทดลองใช้ e-Receipt มาได้ 1 เดือนพบว่ามีลูกค้าให้ความสนใจใช้บริการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับศูนย์บริการลูกค้าไทยสมายล์ 13 จุดทั่วประเทศ ได้แก่ ศูนย์บริการลูกค้าไทยสมายล์ สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดี, สนามบินสุวรรณภูมิ, ศูนย์บริการลูกค้าไทยสมายล์ ณ เชียงราย, เชียงใหม่, อุบลราชธานี, ขอนแก่น, อุดรธานี, ภูเก็ต หาดใหญ่, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, นราธิวาส และ PLAI (รัฐสภา)
“ไทยสมายล์มุ่งพัฒนาเพื่อเปลี่ยนโฉมหน้าธุรกรรมการเงินในรูปแบบดิจิทัล และพร้อมจะเป็นสายการบินพาณิชย์รายแรกของไทยที่ให้ลูกค้าออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ซึ่งเพิ่มความสะดวกสบายและตอบสนองมิติใหม่ของระบบภาษี และเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร ลูกค้าสามารถกรอกข้อมูลเพื่อขอใบกำกับภาษีได้ด้วยตนเองผ่านช่องทางออนไลน์ จากนั้นไทยสมายล์จะจัดส่งเอกสารไปตามที่อยู่ที่ระบุไว้ภายใน 5-7 วันทำการ ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีมากกว่า 60-70 ใบต่อวัน โดยอยู่ระหว่างประสานความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐในการให้ลูกค้าสามารถออกใบกำกับภาษีด้วยตนเอง (e-Tax invoice) อีกด้วย”
การลงทุนด้านดิจิทัลนั้นคุ้มค่าและได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมสามารถเชื่อมต่อระบบงานทั้งหมดให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างดี ทั้งยังจัดการกับปัญหางานเอกสารของบุคลากร ลดปริมาณการใช้กระดาษ และทำให้ระบบการเงินและบัญชีขององค์กรมีความคล่องตัว ไทยสมายล์จึงมาโฟกัสใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อปรับปรุงและพัฒนางานบริการต่อไปในอนาคต เช่น การนำ Chatbot มาใช้ในการตอบคำถาม, การปรับปรุง Mobile App ให้ตอบสนองการใช้งานมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็พร้อมผลักดัน Partner Strategic จับมือพันธมิตรสถาบันการเงินทั้งไทยและต่างประเทศมากขึ้น เพื่อให้รูปแบบการเงินดิจิทัลเป็นเรื่องง่าย และส่งเสริมไลฟ์สไตล์สังคมไร้เงินสดได้อย่างเป็นรูปธรรม