ผู้จัดการรายวัน 360 - ศูนย์ฯ สิริกิติ์ประกาศโต 2 เท่ารับโฉมใหม่บนพื้นที่ 70,000 ตารางเมตรในปี 66 “นีโอ” ขานรับนโยบาย ชูแผนรับมือช่วงปิดรีโนเวตศูนย์ฯ ผุดทีม BTO บุก ตปท. เจาะ B2B นำไทยร่วมเอ็กซิบิชัน หวังบาลานซ์ต้นทุนค่าเช่าที่จัดงานพุ่ง 25% พร้อมปั่นยอดโต 10-12% ต่อเนื่อง 5 ปี เร่งอัปไซส์ 4 งานใหญ่ เสิร์ฟศูนย์ฯ เปิดอีกครั้ง
นายสืบพงษ์ สมิตทันต์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด (นีโอ) เปิดเผยว่า ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์จะปิดให้บริการและรีโนเวตตั้งแต่เดือน มี.ค. 61 ไปจนถึงปลายปี 65 และจะกลับมาเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการช่วงต้นปี 2566 ทั้งนี้ นีโอเป็นบริษัทลูกที่ดูแลธุรกิจการจัดงานเอ็กซิบิชันที่ส่วนใหญ่ใช้พื้นที่จัดงานของศูนย์ฯ สิริกิติ์ โดยจ่ายค่าเช่าพื้นที่ในราคาพิเศษ แต่หลังปิดศูนย์ฯ ไปนีโอจะต้องมีแผนรับมือเพื่อรักษารายได้ให้มีการเติบโตที่ 10-12% ต่อเนื่องจนเปิดศูนย์ฯ อีกครั้ง พร้อมทั้งพัฒนางานที่จัดขึ้นเองให้มีศักยภาพและขนาดที่ใหญ่ขึ้นอย่างน้อย 4 งาน สำหรับจัดที่ศูนย์ฯ ที่จะเปิดใหม่อีกครั้ง
“ปัจจุบันศูนย์ฯ สิริกิติ์มีพื้นที่ 20,000 ตารางเมตร หลังรีโนเวตจะมีพื้นที่เพิ่มเป็น 70,000 ตารางเมตร ใกล้เคียงกับไบเทค บางนา โดยการรีโนเวตใหม่ครั้งนี้ต้องการที่จะเป็น "เซ็นทรัล บิสิเนส ดิสทริกต์" หรือการเป็นศูนย์เอ็กซิบิชันดาวน์ทาวน์ที่ใหญ่ที่สุดในใจกลางเมือง พร้อมรับรู้รายได้ที่โตขึ้นอีก 200% ทั้งนี้ พบว่าการปิดศูนย์ฯ ครั้งนี้ส่งผลให้ยอดจองพื้นที่เช่าในทำเลอื่นเต็มแล้ว เช่น ไบเทค บางนามีการจองจัดงานเต็มตลอดปี2561 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดรวมการจัดงานเอ็กซิบิชันที่ยังคงโตต่อเนื่อง หรือมีไม่ต่ำกว่า 100 งานต่อปี มูลค่าตลาดอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท”
ในส่วนของนีโอ ปีนี้จนถึงปีหน้ามีการวางแผนรับมือไว้แล้ว เช่น ในส่วนของการเช่าพื้นที่จัดงาน จะต้องหาพื้นที่จัดงานใหม่แทน เช่น ศูนย์การค้ากับงานขนาดเล็ก แบบจับกลุ่ม B2C รวมถึงไบเทค บางนา และอิมแพ็ค เมืองทองธานีสำหรับงานใหญ่ ทำให้ต้นทุนเช่าพื้นที่จัดงานสูงขึ้น 25% นอกจากนี้ยังมุ่งขยายงานสู่ระดับสากล เน้นกลุ่มเป้าหมาย B2B จากเดิมเป็นแบบ B2C โดยจะต่อยอด 3 ธุรกิจ คือ
1. เป็นตัวแทนแสดงสินค้าในต่างประเทศ พาผู้ประกอบการไทยไปเปิดบูทในตลาดที่มีศักยภาพ โดยเป็นตัวแทนการขายงานแสดงสินค้า B2B กว่า 17 งาน ใน 10 ประเทศ ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลากหลาย ทั้ง วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ความงาม อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น 2. ให้บริการด้านกลยุทธ์ทางการตลาดและประชาสัมพันธ์เฉพาะกลุ่ม ให้กับหน่วยงานและงานแสดงสินค้าต่างๆ ทั้งในไทย และต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV มาเลเซีย และสิงคโปร์ ล่าสุดร่วมกับบริษัท ComAsia Limited ผู้จัดงานจากฮ่องกง จัดงานระดับโลกประจำทุกปี และ 3. การสร้างสรรค์งานแสดงสินค้ารูปแบบใหม่ และนำไปจัดในตลาดใหม่ๆ โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เช่น งาน Safety Easten Expo 2019
“การปรับตัวของนีโอช่วง 4-5 ปีนี้เน้นขยายบริการเพิ่มในกลุ่ม B2B ไปยังต่างประเทศ มองหาการจัดงานใหม่ๆ เพื่อมุ่งลดและบาลานซ์กับต้นทุนการเช่าพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันจะต้องเพิ่มรายได้ให้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งต้องพัฒนาศักยภาพงานเดิมในลักษณะจับมือกับพันธมิตร สำหรับจัดงานให้มีขนาดใหญ่ขึ้นบนพื้นที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์ใหม่ในปี 66” นายสืบพงษ์กล่าว
ปัจจุบันนีโอดำเนินธุรกิจจัดงานเอ็กซิบิชัน 2 แบบ คือ เป็นเจ้าของและจัดเอง ราว 13 งานต่อปี และบริหารให้ลูกค้า 7-12 งานต่อปี งบลงทุนรวมใช้ 20% ของรายได้ทั้งปีที่วางไว้ โดยให้บริการอยู่ภายใต้ 4 หน่วยธุรกิจที่ทำรายได้หลัก คือ 1. B2C 35% 2. B2B 20% 3 BTO 5% และ 4. Bitding 40% หรือในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ 200 ล้านบาท โตขึ้น 13% และในปีหน้าเพิ่มเป็น 280% โต 20% จากงานเดิมที่เติบโตมากขึ้น และคงการเติบโตต่อเนื่องที่ 15-20% ไปจนถึงปี 66 หรือต้องมีรายได้ ณ เวลานั้นราว 800 ล้านบาท
ในส่วนของ BTO หรือ Bring Them It ถือเป็นหน่วยธุรกิจที่ตั้งขึ้นมาใหม่สำหรับรุกตลาด B2B ยังตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะ ถือเป็นธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพและคาดว่าอนาคตจะสามารถทำรายได้ให้นีโอได้กว่า 10-15% ทดแทนในส่วนของบิตดิ้งที่จะลดความสำคัญลงเพราะมีความเสี่ยงสูง
นอกจากนี้ นีโอยังมุ่งจับมือกับพันธมิตรพัฒนาศักยภาพ 4 งานที่มองว่าจะสามารถจัดเป็นงานใหญ่รับศูนย์ฯ สิริกิติ์ในปี 2566 ได้ คือ ธุรกิจดำน้ำ, ธุรกิจกอล์ฟ, ไลฟ์สไตล์/ของขวัญของชำร่วย และสัตว์เลี้ยง รวมถึงเวดดิ้ง ซึ่งจะต้องมีขนาดใหญ่หรือกินพื้นที่ราว 30% ของพื้นที่รวมของศูนย์ฯ ในการจัดแต่ละครั้งได้ จากปัจจุบันงานเหล่านี้มีขนาดเพียง 10% ของพื้นที่เดิมเท่านั้น