xs
xsm
sm
md
lg

หุ่นยนต์เอไอเตรียมขึ้นแท่น “แรงงาน” พรีเมียม!? หรือจะมาเป็น “พาร์ตเนอร์” มนุษย์ที่ใครก็แทนไม่ได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มนุษย์อาจต้องตกงานแล้วจริงหรือ!? เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือหุ่นยนต์เอไอ เตรียมขึ้นแท่นแรงงานคุณภาพเทียบชั้นมนุษย์ เนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าวมีการออกแบบและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถสื่อสารและแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ใกล้เคียงมนุษย์มากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการทดแทนการใช้แรงงานมนุษย์ในกลุ่มงานที่เสี่ยงอันตราย รวมถึงอำนวยความสะดวกแก่มนุษย์ในมิติต่างๆ เช่น หุ่นยนต์เก็บกู้ระเบิด หุ่นยนต์นักบิน บาริสตาในร้านกาแฟ และแม่ครัวทอดไข่เจียว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความอัจฉริยะของหุ่นยนต์เอไอเท่านั้น ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่แรงงานมนุษย์ต้องหาแนวทางร่วมกันครั้งใหญ่ เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาแย่งก้าวข้ามสายงานของหุ่นยนต์ในอนาคต หรือท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์และหุ่นยนต์จะสามารถทำงานร่วมกันอย่างพันธมิตรที่ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย (Win-Win)
ศาสตราจารย์ ดร.ธนารักษ์ ธีระมั่นคง นายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย และอาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์และการสื่อสาร สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มธ.
ศาสตราจารย์ ดร.ธนารักษ์ ธีระมั่นคง นายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย และอาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์และการสื่อสาร สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มธ. กล่าวว่า ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เริ่มเข้ามามีบทบาทในการอำนวยความสะดวกให้แก่แรงงานมนุษย์ และผลผลิตจากปัญญาประดิษฐ์ยังสามารถควบคุมจำนวนและคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ต้องการ ซึ่งสามารถแบ่งบทบาทการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ได้ 3 ระดับ ได้แก่

1. ทำงานแทนสมองของมนุษย์ รูปแบบการทำงานเพื่อการตัดสินใจแทนมนุษย์ เช่น การใส่ข้อมูลอาการป่วยของผู้ป่วยเพื่อวินิจฉัยโรค แต่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากและเพียงพอจึงจะสามารถวินิจฉัยหรือตัดสินได้อย่างแม่นยำ 2. ทำงานแทนคำพูดของมนุษย์ รูปแบบการทำงานเพื่อโต้ตอบกับมนุษย์ เช่น ระบบตอบรับอัตโนมัติหรือแชตบอต (Chatbot) ที่สามารถตอบโต้เพื่อให้ข้อมูลกับมนุษย์คู่สนทนา แต่สามารถให้ข้อมูลที่ได้รับการบันทึกไว้เท่านั้น ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ไม่เคยถูกบันทึกหรือซับซ้อนได้ 3. ทำงานแทนการกระทำของมนุษย์ รูปแบบการทำงานเพื่อทดแทนการใช้แรงงานมนุษย์ เช่น หุ่นยนต์หรือแขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อคัดแยกส่วนที่เน่าเสียหายหรือไม่ผ่านมาตรฐานในอุตสาหกรรมการเกษตรตามข้อมูลที่มนุษย์ได้บันทึกไว้ หรือแขนกลเพื่อช่วยเหลือการผ่าตัดของศัลยแพทย์ในบางส่วน แต่ยังไม่สามารถทำการผ่าตัดแทนศัลยแพทย์ได้ทั้งหมด

“แม้ในปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์สามารถเข้ามาทดแทนในส่วนงานที่ไม่ซับซ้อนหรือส่วนงานที่ใช้เพียงทักษะพื้นฐานเท่านั้น แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยี ส่งผลในอนาคตปัญญาประดิษฐ์สามารถพัฒนาขึ้นมาเพื่อทดแทนการทำงานที่ซับซ้อนของมนุษย์ได้ แรงงานมนุษย์จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาทั้งทักษะเฉพาะด้านและองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะได้สอดคล้องไปกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต” ศาสตราจารย์ ดร.ธนารักษ์กล่าวทิ้งท้าย
รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย ชคตระการ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)
ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย ชคตระการ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวเสริมว่า การเติบโตของหุ่นยนต์เอไอ ถือเป็นเครื่องสะท้อนความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างเด่นชัด จากการเข้ามามีบทบาทด้านการประหยัดเวลา และลดการใช้แรงงานมนุษย์ได้หลายเท่าตัว เช่น การประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ และการไถพรวนดินในนาข้าว จึงเป็นสิ่งที่สังคมไม่อาจปิดกั้นการใช้หุ่นยนต์เอไอทำงานบางอย่างแทนมนุษย์ได้ แต่ทั้งนี้ หุ่นยนต์ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ไม่สามารถทดแทนมนุษย์ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะในเรื่องของจิตใจและความจริงใจ ที่เป็นหัวใจสำคัญของงานบริการ ที่ต้องใช้ความจริงใจในการสื่อสารกับผู้รับบริการ รวมถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์ ที่ต้องอาศัยทักษะการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ของมนุษย์เป็นพื้นฐาน ในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมได้อย่างเต็มศักยภาพ อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหุ่นยนต์เอไออาจเข้ามามีบทบาทที่ใกล้ชิดกับนักวิทยาศาสตร์ยิ่งขึ้น ในมิติของการทำงานร่วมกันแบบพาร์ตเนอร์ (Partner) ที่มีส่วนช่วยให้การค้นคว้าวิจัยหรือพัฒนานวัตกรรมให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

“อย่างไรก็ตาม การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ได้มีเพียงการพัฒนาบุคลากรเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม หุ่นยนต์ เครื่องทุ่นแรงมาเพื่อทดแทนการใช้แรงงานเพียงอย่างเดียว แต่ตามนโยบายของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. จะเป็นการมุ่งพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเป็น “ผู้จ้างงาน” หรือเพื่อสร้างโอกาสในการทำงานของผู้อื่น มากกว่าเป็นผู้วิ่งหางานในตลาดแรงงาน ภายใต้ยุทธศาสตร์ “SCI+BUSINESS” ที่เน้นให้บัณฑิตสามารถบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับหลักการทางธุรกิจเป็นพื้นฐาน ในการพัฒนาตนเอง พัฒนาธุรกิจ รวมถึงนวัตกรรมเพื่อสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล” รศ.ดร.สมชายกล่าว

“ล่าสุด คณะวิทยาศาสตร์ฯ มธ.เตรียมเปิดรับสมัครนักศึกษาเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรสายพันธุ์ใหม่รวม 5 หลักสูตร เพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) และพร้อมตอบโจทย์ความต้องการของสังคม รวมถึงผู้ประกอบการสายพันธุ์ใหม่ให้แก่ประเทศไทย ได้แก่ 1. หลักสูตรวิทยาศาสตร์อุตสาหการและการประกอบการ (หลักสูตรนานาชาติ) 2. หลักสูตรนวัตกรรมสารสนเทศทางสุขภาพ 3. หลักสูตรเทคโนโลยีพลังงานชีวภาพและการแปรรูปเคมีชีวภาพ 4. หลักสูตรวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมทางอาหารหลักสูตรปริญญาตรี (แบบก้าวหน้า) และ 5. หลักสูตรวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมข้อมูล ในรอบรับตรงร่วมกัน รอบที่ 3 ระหว่างวันที่ 9-13 พฤษภาคม 2561” รศ.ดร.สมชายกล่าวทิ้งท้าย
แสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการ เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม (JobThai.com)
ด้าน นางสาวแสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการ เว็บไซต์จ็อบไทยดอทคอม (JobThai.com) กล่าวว่า แม้ปัจจุบันโลกธุรกิจจะหันมาให้ความสำคัญของเทคโนโลยีและหุ่นยนต์ในการช่วยมนุษย์ทำงานมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าก็ยังมีข้อจำกัดในหลายๆ ด้านอยู่ ซึ่งโลกของการทำงานหลายอาชีพยังจำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์ในการขับเคลื่อนเป็นหลักอยู่ เพราะมนุษย์มีทักษะสำคัญที่เทคโนโลยีหรือหุ่นยนต์ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้ ก็คือ 1. ทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) เพราะสมองของมนุษย์มีความซับซ้อนและมีความสามารถในการคิดได้หลากหลายรูปแบบจนนำไปสู่การคิดค้นและสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ 2. ทักษะทางสังคม (Social Skills) เนื่องจากโลกใบนี้ประกอบไปด้วยผู้คนมากมาย

แสดงออกเพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางบวกให้เกิดขึ้น และ 3. ทักษะทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) เพราะมนุษย์มีความสามารถในการตระหนักรู้ถึงความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น และใช้ในการสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้เกิดประโยชน์ ได้ ซึ่งเห็นได้ว่าทักษะเหล่านี้ล้วนเกิดจากการเรียนรู้โดยธรรมชาติของมนุษย์เป็นทุนเดิม ถือเป็นจุดแข็งของมนุษย์ที่เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ยังไม่สามารถทำได้ดีในระดับเทียบเท่า แม้การพัฒนาของเทคโนโลยีหรือปัญญาประดิษฐ์จะมีความก้าวหน้ามากขึ้นก็ตาม ดังนั้นมนุษย์มีความจำเป็นต้องเรียนรู้และพัฒนาทักษะดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้โลกการทำงานในอนาคตของทั้งมนุษย์และหุ่นยนต์สามารถทำงานและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข


กำลังโหลดความคิดเห็น