ผู้จัดการรายวัน 360 - แม็คกรุ๊ปจัดทัพกลุ่มสินค้าใหม่สร้างประสิทธิภาพรุกตลาด พร้อมดันกลุ่มสกินแคร์เต็มที่ปีนี้ เผยวางแผนขยายพื้นที่จำหน่ายเพิ่มเติมประมาณ 3,000 ตารางเมตร หรือ 30 จุดขายภายในประเทศปีนี้ มุ่งพัฒนาเว็บไซต์ mcshop.com และระบบ Omni Channel ดันยอดปี 61 โต 10% ประกาศยอดขายปี 2560 ที่ 4,228 ล้านบาท กำไรสุทธิ 609 ล้านบาท
นางสาวสุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (MC) เปิดเผยว่า ปี 2560 เป็นปีที่ท้าทายมากสำหรับบริษัทฯ ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวและการแข่งขันในตลาดค้าปลีกที่เพิ่มสูงขึ้นที่กดดันอำนาจการจับจ่ายของครัวเรือน โดยเฉพาะหมวดสินค้าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายจากภาพรวมดัชนีค้าปลีกที่มีการเติบโตเพียง 3% ในขณะที่ภาพรวมดัชนีค้าส่งเสื้อผ้าแทบไม่มีการเติบโต ซึ่งบริษัทฯ ในฐานะผู้ค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ที่จำหน่ายสินค้าประมาณ 15-20% ผ่านช่องทางค้าส่งจำต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และบริหารช่องทางการขายอย่างระมัดระวังตลอดทั้งปีที่ผ่านมาเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต เป็นผลให้ยอดขายโดยรวมปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตได้ในอัตรา 4.2% ผ่านร้านค้าของบริษัทฯ เองและห้างสรรพสินค้าที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ โดย ณ สิ้นปี 2560 บริษัทฯ มีจุดจำหน่ายสินค้าทั้งสิ้น 894 แห่ง แบ่งเป็นจุดจำหน่ายในประเทศ คือ ร้านค้าปลีกของตนเอง 300 แห่ง ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ 575 แห่ง รถโมบายล์เคลื่อนที่ 6 คัน และจุดจำหน่ายในประเทศพม่า ประเทศลาว และประเทศอิหร่าน อีก 13 แห่ง โดยบริษัทฯ ได้เพิ่มช่องทางการขายในประเทศสุทธิ 9 แห่ง และปรับโครงสร้างการจัดจำหน่ายในต่างประเทศ โดยปิดจุดจำหน่ายที่มีขนาดเล็ก 12 แห่ง เพื่อการลงทุนทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ
นายบัณฑิต ประดิษฐ์สุขถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและบัญชี กล่าวว่า กำไรขั้นต้นสำหรับปี 2560 มียอดรวม 2,227 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 52.7% โดยบริษัทฯ มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายตลอดทั้งปี กำไรสุทธิมียอดรวม 609 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 14.1% ลดลงจากปี 2559 จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงและค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับกลยุทธ์การบริหารช่องทางขายส่งของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในปี 2561 ทั้งนี้ สำหรับผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปี บริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลเพิ่มจำนวน 0.30 บาทต่อหุ้น รวมเป็นจำนวน 240 ล้านบาท คิดเป็นการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2560 รวมที่ 0.75 บาทต่อหุ้น
“บริษัทฯ มุ่งเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดยในปลายปี 2560 บริษัทฯ ได้เริ่มรับสมัครสมาชิก Mc Club เพื่อตอกย้ำจุดแข็งในฐานะที่บริษัทฯ มีลูกค้าประจำจำนวนมากทั่วประเทศเพื่อมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้แก่ลูกค้าบริหารโครงการส่งเสริมการขายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มความถี่ในการซื้อซ้ำ ตลอดจนสร้างช่องทางการสื่อสารและนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดย ณ ปัจจุบันลูกค้าสามารถสมัครสมาชิก Mc Club ได้ที่ร้านค้าปลีกของ Mc ทั่วประเทศแล้ว” นายบัณฑิตกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการจัดกลุ่มสินค้าทั้งหมดใหม่ โดยส่วนธุรกิจเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายประกอบด้วย 7 กลุ่มใหม่ คือ Signature, Limited, One price, Seasonal, Innovative, Skincare และ Accessories และส่วนธุรกิจนาฬิกา ประกอบด้วย 2 กลุ่มใหม่ คือ Luxury Fashion และ Lifestyle Fashion เพื่อความมีประสิทธิภาพในการบริหารวงจรผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) และการนำเสนอสินค้าเฉพาะกลุ่มลูกค้าได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่นั้น ทางบริษัทฯ มีแผนผลักดันยอดขายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องหอม จากผลตอบรับที่ดีของกลุ่มลูกค้าที่มีอยู่และลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากตลาดความงาม โดย ณ สิ้นปี 2560 บริษัทฯ มีการจำหน่ายสินค้าที่ร้าน Mc จำนวน 285 แห่ง ช่องทางออนไลน์ผ่าน mcshop.com และ lazada รวมถึง Pop-up stores จำนวน 14 แห่ง โดยมียอดขายอยู่ที่ 47 ล้านบาทในปี 2560
ในปี 2561 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 100 ล้านบาท ผ่านแผนการขยายช่องทางจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ Aromatique Active ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำและในช่องทางออนไลน์ต่างๆ นอกจากนี้ ในครึ่งปีหลังบริษัทฯ เตรียมนำเสนอคอลเลกชันเสื้อผ้าภายใต้แบรนด์ UP โดยนำกีฬามาผสมผสานกับแฟชั่นในดีไซน์ที่ลงตัว พร้อมฟังก์ชันที่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าบริษัทฯ ภายหลังจากมีการเลื่อนการเปิดตัวแบรนด์ UP อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีที่แล้ว
ในปี 2561 บริษัทฯ วางแผนขยายพื้นที่จำหน่ายเพิ่มเติมประมาณ 3,000 ตารางเมตร หรือ 30 จุดขายภายในประเทศในปีนี้ และยังคงพัฒนาเว็บไซต์ mcshop.com และระบบ Omni Channel เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าแบบไร้รอยต่อระหว่างช่องทางออฟไลน์กับออนไลน์เพื่อผลักดันการเติบโตของจุดขายเดิมและจุดขายใหม่ โดยสำหรับปี 2560 ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์และระบบ Omni channel มียอดรวมประมาณ 40 ล้านบาทหรือเทียบเท่า 1% ของยอดขายรวม ซึ่งเติบโตขึ้นจากยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งในปีก่อนหน้าที่ทำได้เพียง 4 ล้านบาท