“ส.อ.ท.” ยอมรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในไทยให้ได้ 3 ล้านคันในปี 2560 จนถึงปีนี้ก็ยังไกลจากความจริง คาดมีโอกาสเห็นได้ในอีก 6-7 ปีข้างหน้าขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย หวังรถรุ่นใหม่อีโคคาร์เฟส 2 จะช่วยกระตุ้นตลาด ส่วนรถอีวีไม่ต้องพูดถึงสัดส่วนยังต่ำมาก
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า เป้าหมายของรัฐและเอกชนที่ต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ให้ได้ 3 ล้านคันในปี 2560 ยังคงไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากปัจจัยภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลกและในไทยช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ในปี 2561 กลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท.ได้ตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไว้เพียง 2 ล้านคันเท่านั้น หากพิจารณาแนวโน้มจึงคาดว่าไทยจะก้าวไปสู่ระดับการผลิต 3 ล้านคันได้ในอีก 6-7 ปีข้างหน้า
“ขณะนี้เรายังคงเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับที่ 12 ของโลก ที่ผ่านมาเราประสบปัญหาภาวะน้ำท่วม เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้การผลิตรถยนต์เติบโตได้ช้าลงส่งผลให้ไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3 ล้านคันในปี 2560 โดยปี 2560 มียอดผลิตอยู่ที่แค่ 1.98 ล้านคัน และในปีนี้ก็ตั้งเป้าไว้เพียง 2 ล้านคัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกประมาณ 1.1ล้านคัน ผลิตเพื่อขายในประเทศ 9 แสนคัน หากมองเป้าที่ 3 ล้านคันอย่างน้อยสัดส่วนการส่งออกก็ควรจะเป็น 1.5 ล้านคันเท่ากับในประเทศ ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีก 6-7 ปีหากดูจากอัตราการเติบโตเศรษฐกิจเฉลี่ยปีละ 3-4%” นายสุรพงษ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตัวแปรสำคัญคือภาวะเศรษฐกิจโลกหากเติบโตสูงจะมีส่วนสำคัญต่อการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกแม้จะโตแต่ก็ยังคงเป็นอัตราที่ไม่สูงมากนัก บางประเทศมีการขึ้นภาษีนำเข้า ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศก็เป็นปัจจัยสำคัญหากระดับราคาสินค้าเกษตร การลงทุนจากภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้แรงซื้อในประเทศสูงขึ้น ซึ่งในช่วงปลายปีที่ผ่านมาสัญญาณแรงซื้อเริ่มกลับมาฟื้นตัว
นอกจากนี้ การผลิตรถยนต์อีโคคาร์เฟส 2 หากปีนี้มีการเปิดตัวแนะนำรถยนต์ใหม่ออกมาทำตลาดเพิ่มเติมซึ่งก่อนหน้านี้ทางมาสด้าได้เปิดตัวไปแล้วนั้นก็จะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มยอดขายตลาดในประเทศได้อีกพอสมควร เนื่องจากรถรุ่นนี้มีโครงสร้างภาษีสรรพสามิตที่ต่ำจะได้เปรียบในเรื่องของราคาจำหน่าย ส่วนยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) นั้นปัจจุบันมียอดขายที่ค่อนข้างต่ำ โดยเฉลี่ยมีรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทรวมกันประมาณ 1 หมื่นคันเท่านั้น แม้แนวโน้มจะเริ่มได้รับความสนใจแต่ก็ยังมีสัดส่วนน้อยเพราะราคารถยนต์ยังคงสูงเกินระดับ 1 ล้านบาท โอกาสในการมากระตุ้นให้การผลิตสูงขึ้นจึงมีต่ำมาก