xs
xsm
sm
md
lg

“ซานตาเฟ่” ปรับเกมดันโตคืน 25% อัพราคารับค่าแรงขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สุรชัย ชาญอนุเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด  ผู้บริหารร้านซานตาเฟ่
ผู้จัดการรายวัน360 - ตลาดร้านอาหารแข่งดุ ภาพรวมโตจริงแต่ร้านเดิมลดลง 3% ต้องเร่งขยายสาขา ด้าน “ซานตาเฟ่” รุกหนักหวังดันเติบโต 25% ต่อปี ปีนี้คาดเปิด 20 สาขาหวังดันรายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาท ปรับแผนตลาด ลดพื้นที่ ปรับราคา เพิ่มงบตลาด

นายสุรชัย ชาญอนุเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด ผู้บริหารร้านซานตาเฟ่ เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านอาหารในภาพรวมในไทยมีการแข่งขันที่รุนแรงมาก ซึ่งตลาดรวมปีที่แล้วแม้จะเติบโต 7% เป็นเพราะการขยายสาขาใหม่ๆ ของภาพรวม ขณะที่สาขาเดิมหรือ Same Store ยอดตกลง 3% และร้านอาหารเปิดมากในศูนย์การค้า อย่างไรก็ตาม พบว่าร้านอาหารประเภทเกาหลีกับญี่ปุ่นยังไปได้ดีอยู่ แต่ ไม่ได้เติบโตหวือหวาเหมือนอดีต

อีกทั้งการเติบโตของธุรกิจดีลิเวอรีที่สร้างความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการสั่งอาหารไปรับประทานที่บ้าน หรือการสั่งอาหารผ่านธุรกิจบริการ เช่น ไลน์แมน ฟู้ดแพนด้า เป็นต้น เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ขณะที่ร้านอาหารประเภทสเต๊ก ถือเป็นทางเลือกอันดับที่ 5-6 ที่ผู้บริโภคจะเลือกรับประทาน เพราะมีทางเลือกมากมาย เช่น อาหารญี่ปุ่น เกาหลี ตะวันตก อิตาลี อาหารไทย เป็นต้น

“ตลาดรวมร้านสเต๊กในไทยมีมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท มีผู้เล่นรายหลักไม่กี่แบรนด์ เช่น ซิซซ์เล่อร์ เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งกว่า 50% แล้ว ส่วนซานตาเฟ่เป็นอันดับที่สองในแง่รายได้ นอกจากนั้นก็มีแบรนด์ เจฟเฟอร์สเต๊ก ลุงหนวด และอื่นๆ” นายสุรชัยกล่าว
สุรชัย ชาญอนุเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด  ผู้บริหารร้านซานตาเฟ่
สำหรับแบรนด์ซานตาเฟ่ ยอดขายรวมปีที่แล้ว (2560) มีประมาณ 1,650 ล้านบาท เติบโต 10% แต่ต่ำกว่าที่ผ่านมาที่เคยโตมากกว่านี้เฉลี่ย 25% ปีที่แล้วเปิดใหม่ได้ 15 สาขา (เป็นของบริษัทฯ 6 สาขา เป็นของแฟรนไชส์ 9 สาขา) เปิดได้ต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ 20 สาขาเพราะได้ทำเลไม่เหมาะสม แต่จากนี้ไปตั้งเป้าจะโตให้ได้ 25% ต่อปีถึงปี 2563 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายยอดขายรวม 3,000 ล้านบาทในปี 2563 และยังมีแผนเดิมคือ เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2562 และตั้งเป้าปีนี้รายได้ 2,000 ล้านบาท เปิดใหม่ 20 สาขา แบ่งเป็น บริษัทฯ 10 สาขา งบ 100 ล้านบาท เช่น บิ๊กซีสัตหีบ, ฮาร์เบอร์มอลล์แหลมฉบัง, เทสโก้โลตัสพนัสนิคม, เดอะมาร์เก็ตราชดำริ เป็นต้น และแฟรนไชส์อีก 10 สาขา คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีครบ 123 สาขา

ปีนี้มีการปรับกลยุทธ์บางอย่างเพื่อให้ธุรกิจรุกได้ตามเผนและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ เช่น การปรับราคาอาหารขึ้น 5% เนื่องจากมีการปรับอัตราค่าจ้างแรงงาน ซึ่งต้นทุนส่วนนี้เพิ่มเฉลี่ย 1 ล้านบาทต่อเดือน จากค่าจ้างเฉลี่ย 20 ล้านบาทต่อเดือนต่อพนักงานรวม 3,000 คน อีกทั้งค่าต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น โดยต้นทุนหลักคือ วัตถุดิบ 40% แรงงาน 23% ค่าเช่าค่าน้ำค่าไฟ 20% ที่เหลืออื่นๆ ซึ่งในอดีตเคยกำไรหลัก 10% ขึ้นไป แต่ปีที่แล้วกำไร 7-8% รวมทั้งการลดขนาดพื้นที่บ้างเหลือ 100-150 ตารางเมตร จากเดิม 150-200 ตารางเมตร

รวมทั้งการเพิ่มเมนูเส้นเข้ามาในร้าน เพื่อดึงลูกค้ากลุ่มที่ชอบรับประทานอาหารแบบเส้นแต่ไม่เคยเข้าร้านซานตาเฟ่ จัดโปรโมชัน 2 เดือนต่อครั้ง เพิ่มงบการตลาดเป็น 100 ล้านบาท จากปีที่แล้วใช้ 80 ล้านบาท แยกเป็น ออฟไลน์ 70% และออนไลน์ 30% ซึ่งพฤติกรรมลูกค้าเข้าร้านลดลงเฉลี่ย 2.5 ครั้งต่อเดือน จากเดิม 3 ครั้งต่อเดือน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 170 บาทต่อครั้งต่อคน

สำหรับตลาดต่างประเทศ บริษัทฯ สนใจตลาดเพื่อนบ้านเป็นหลัก ขณะนี้เจรจากับผู้สนใจประมาณ 2-3 รายในแต่ละประเทศ คือ เวียดนาม กับกัมพูชา โดยจะขายแฟรนไชส์แบบมาสเตอร์แฟรนไชส์ คาดว่าปีนี้จะเปิดได้รวม 5 สาขาในต่างประเทศ


กำลังโหลดความคิดเห็น