ผู้จัดการรายวัน 360 - ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมูลค่า 17,000 ล้านบาท คาดปีจอ (2561) นี้ตลาดคึกคักกว่าเดิม ผู้เล่นรายใหญ่ “มาม่า-ไวไว” รุกหนักปลุกตลาด เปิดกลยุทธ์หลัก “ออกสินค้าใหม่-สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า-โหมตลาดส่งออก-เพิ่มฐานผลิตต่างประเทศ”
ตลาดรวมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยมูลค่า 17,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา (2560) ตลาดรวมเติบโตไม่มากเท่าใดนัก เพียงแค่ 1-2% เท่านั้นเอง ขณะที่ปี 2559 ตลาดรวมก็เติบโตต่ำมากไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำไป สาเหตุหลักก็คือเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาค่อนข้างมีปัญหา กำลังซื้อตกลง แม้ว่าบะหมี่กึ่งฯ จะเป็นสินค้าราคาต่ำแค่ซองละ 5-6 บาทเท่านั้น และเป็นเสมือนดัชนีชี้วัดภาวะเศรษฐกิจได้ดีก็ตามก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย
อีกทั้งตลาดค่อนข้างที่จะอิ่มตัวและทรงๆ มาหลายปีแล้ว การบริโภคบะหมี่กึ่งฯ ของคนไทยไม่ได้เพิ่มมากนัก แม้ว่าจะมีปริมาณ 49 ชิ้นต่อคนต่อปี ซึ่งยังมากกว่าอัตราค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 13 ชิ้นต่อคนต่อปีก็ตาม เนื่องมาจากปัจจุบันมีอาหารที่หลากหลายเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของบะหมี่กึ่งฯ หรือที่มีฐานะขึ้นมาอีกระดับ หรือแม้แต่ข้าวสารที่แยกออกมาขายเป็นบรรจุซองเล็กๆ ก็มาแย่งตลาดบะหมี่กึ่งฯ จากผู้มีรายได้น้อยได้เช่นกัน
ทั้งนี้ อัตราการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ทางสมาคมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโลก (World Instant Noodle Association / WINA) ได้สำรวจมา พบว่า 5 ประเทศที่มีอัตราการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากที่สุดในโลก คือ 1. เกาหลี ปริมาณ 76 ชิ้นต่อคนต่อปี 2. ฮ่องกง ปริมาณ 59 ชิ้นต่อคนต่อปี 3. เวียดนาม ปริมาณ 52.6 ชิ้นต่อคนต่อปี 4. อินโดนีเซีย ปริมาณ 50.5 ชิ้นต่อคนต่อปี โดยมีไทยมาเป็นอันดับที่ 5 ปริมาณ 49 ชิ้นต่อคนต่อปี ซึ่งยังสูงกว่าประเทศญี่ปุ่นที่มีปริมาณ 44.7 ต่อคนต่อปีด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตาม การที่จะกระตุ้นให้ตลาดมีการบริโภคมากขึ้นหรือการให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้อีกนั้น หากมัวหวังจะพึ่งพาเพียงรูปแบบเดิมๆ คือ บะหมี่กึ่งในรสชาติเดิมๆ คงเป็นไปได้ยากแล้ว มีเพียง 2 ปัจจัยหลักที่จะให้ธุรกิจและตลาดนี้เติบโตต่อไปได้ คือ 1. การพัฒนาสินค้าใหม่หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเนื่อง และ 2. การทำตลาดต่างประเทศมากขึ้น
ทั้งสามค่ายหลักในไทย ทั้ง มาม่า ไวไว และยำยำ ต่างก็เข้าใจดีและพยายามปรับตัวปรับกลยุทธ์การรุกนี้อยู่เช่นกัน
*** “ไวไว” ลุยกลุ่มพรีเมียม
นายยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “ไวไว” และ “ควิก” เปิดเผยว่า ในปีนี้(2561) ตลาดรวมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคาดว่าจะมีความคึกคักมากขึ้นกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งการออกสินค้าใหม่ การลดแลกแจกแถมที่ต้องมีปกติ การเปิดช่องทางการขายใหม่ๆ
นายยศสรัลกล่าวด้วยว่า ในส่วนของไวไวก็เช่นเดียวกัน หยุดนิ่งไม่ได้ บริษัทฯ มีแผนที่จะทำให้บริษัทฯ เติบโตจากนี้ด้วยกลยุทธ์หลัก 2 ประการ คือ 1. การสร้างการเติบโตในสินค้าเดิม การพัฒนาสินค้าใหม่ๆ และการขยายตลาดต่างประเทศ
ไวไวจะพัฒนาสินค้าใหม่ทั้งซอง ถ้วย และคัพ และรสชาติใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งระดับราคาเดิม และสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อให้มีราคาสูงเล็กน้อย เฉลี่ยราคาที่ 7-10 บาท เพื่อขยับฐานขึ้นมา รวมทั้งการขยายตลาดกลุ่มตลาดพรีเมียมที่มีการเติบโตดี
เช่นกรณีของปี 2560 ที่ผ่านมามีการออกสินค้าใหม่เพื่อเจาะพรีเมียม ด้วยการออก 2 รสชาติ คือ บรรจุภัณฑ์เป็นชาม คือ รสหมูน้ำตก และกระดูกหมูต้มยำ เป็นแบบชาม ราคา 25 บาท แต่ขายเฉพาะที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นเท่านั้น แต่ปี 61 นี้จะขยายช่องทางโมเดิร์นเทรดเพิ่มขึ้น และทำตลาดจริงจังมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่กลุ่มพรีเมียมหรือราคามากกว่า 10 บาทขึ้นไปเป็นตลาดที่เติบโตดีมาก โดยเฉพาะการเข้ามากระตุ้นตลาดของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศจากเกาหลี ช่วง 2 ปีมานี้พบว่ามีหลายแบรนด์เข้ามาทำตลาด และได้รับความนิยมดี ส่งผลให้กลุ่มพรีเมียมมีมูลค่ารวมประมาณ 1,000 กว่าล้านบาทแล้ว หรือสัดส่วน 10% จากตลาดรวม
นายยศสรัลกล่าวว่า ปีนี้ไวไวจะออกสินค้าในกลุ่มพรีเมียมมากขึ้น เพื่อเป็นไปตามเทรนด์ของตลาด แต่สินค้าเดิมที่เป็นยอดขายหลักกว่า 90% ก็ยังคงต้องให้ความสำคัญช่นเดิม เพราะพรีเมียมของเรามีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 5% ในตอนนี้” นายยศสรัลกล่าว
สำหรับผลประกอบการของไวไว ปี 2560 มีอัตราเติบโต 2-3% มากกว่าตลาดรวมที่เพียง 1% เท่านั้น และมีแชร์เป็นอันดับสองในตลาด ระหว่าง 22-23% ซึ่งนายยศสรัลยอมรับว่าการจะเพิ่มส่วนแบ่งเพียงแค่ 1% ในตลาดนี้นั้นยากมาก
*** “มาม่า” ลงทุนเพิ่มผลิตในพม่า
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2561 ว่า กลยุทธ์หลักคือ 1. การขยายฐานตลาดด้วยการพัฒนาและออกสินค้าใหม่ และ 2. การขยายการลงทุนในต่างประเทศเพื่อเพิ่มฐานธุรกิจให้ใหญ่และกระจายตลาดมากขึ้น
โดยการพัฒนาสินค้าใหม่จะมีทั้งสินค้ารสชาติใหม่และสินค้าใหม่ๆ ทั้งแบรนด์เดิมและแบรนด์ใหม่ และให้ความสำคัญต่อสินค้าพรีเมียมหรือสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มที่รักสุขภาพ ให้ตรงความต้องการของตลาดและทันยุคสมัย ซึ่งที่ผ่านมาเฉลี่ยเปิดตัวสินค้าใหม่ 1-2 ตัวต่อปี ส่วนปี 2561 นี้คาดว่าจะมีประมาณ 3 รายการสินค้าใหม่
เนื่องจากสินค้าพรีเมียมมีแนวโน้มการเติบโตดี ซึ่งมาม่าเองในส่วนของพรีเมียมเติบโต 26% ขณะที่สินค้ากลุ่มพรีเมียมมีสัดส่วนกว่า 10% จากตลาดรวม ซึ่งยังมีแนวโน้มโตได้อีกมาก ที่ผ่านมามาม่าก็มีการทำตลาดกลุ่มพรีเมียมบ้าง เช่น แบรนด์โอเรียนทอลคิทเช่น
ส่วนการขยายการลงทุนต่างประเทศ ปัจจุบันมี 4 โรงงานใน 4 ประเทศ คือ 1. บังกลาเทศ ซึ่งมียอดขายน้อยที่สุด 50 ล้านบาท การแข่งขันสูงมาก มีไม่ต่ำกว่า 23 โรงงานในภาพรวม ที่บังกลาเทศจะเป็นฐานผลิตส่งออกตะวันออกกลางได้อย่างดี และอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจ แต่ด้วยความที่อินเดียจะมีปัญหาเรื่องกฎหมายที่แตกต่างกันในแต่ละเมือง จึงเป็นอุปสรรคสำคัญ
2. กัมพูชา มีโรงงานที่พนมเปญ ยังไม่เพิ่มผลิต เนื่องจากคนกัมพูชามักจะนิยมซื้อสินค้าไทยโดยเฉพาะสินค้าที่เป็นภาษาไทยขายดีมาก จึงทำให้มาม่าที่ส่งออกจากไทยขายดีกว่ามาม่าที่ผลิตในกัมพูชาที่ใช้ภาษากัมพูชาเอง มียอดขายแบบซอง 80,000 หีบต่อเดือน และแบบถ้วย 140,000 หีบต่อเดือน ส่วนแบ่งตลาด 80% ยอดขายประมาณ 300 ล้านบาท แต่ก็มีการซื้อที่ดินเตรียมไว้ขยายในอนาคตแล้ว
3. พม่า ปีนี้มีแผนที่จะลงทุน 100-200 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ที่พม่า ที่มัณฑะเลย์ พื้นที่ 10 กว่าไร่ เพิ่มกำลังผลิตอีกเท่าตัว จากเดิมมีแห่งเดียวที่ย่างกุ้ง ซึ่งเต็มกำลังการผลิตแล้ว 3 กะ จาก 2 เครื่อง กำลังผลิต 5 ล้านก้อนต่อเดือน เนื่องจากที่พม่าเติบโตดี มียอดขายกว่า 650 ล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 70%
4. ฮังการี เป็นฐานผลิตส่งตลาดยุโรปเพื่อขยายตลาดมากขึ้น มีโอกาสตลาดสูงมาก เพราะตลาดยังไม่ใหญ่ กำลังผลิตยังขยายได้อีก 100% จากปัจจุบันที่ผลิต 1 กะ 2 ไลน์ผลิต ซึ่งเริ่มผลิตมา 4 ปีแล้วในฮังการี ใช้แบรนด์ “มาม่า” กับ “ ไทยเชฟ” ยอดขายจากฮังการีประมาณ 250 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการปี 2560 ที่ผ่านมา ยอดขาย (ในไทย) ปี 60 มีประมาณ 7,914 ล้านบาท เพิ่มจากยอดขายปี 59 ที่มีประมาณ 7,760 ล้านบาท ส่วนรายรับรวม (ในไทย และต่างประเทศจากการส่งออกจากโรงงานในไทย) มีประมาณ 10,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.04% จากปี 59 ที่มีรายรับรวม 10,337 ล้านบาท
ส่วนกำไรรวม (ในไทย และการส่งออกจากโรงงานในไทย) ในปี 60 มีประมาณ 2,099 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.96% จากปี 59 ที่มีกำไร 1,980 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้รวมมาจากในไทย 80% และส่งออก 20%
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานดังกล่าวถือว่าดีแล้วจากสภาพเศรษฐกิจรวมที่เป็นอยู่ยังไม่กระเตื้องมากนัก แม้ว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 5% แต่ก็ยังโตดีกว่าตลาดรวมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกด้วยที่โตต่ำมากประมาณ 1-2% เท่านั้นเอง จากสภาพเศรษฐกิจรวมที่เป็นอยู่ยังไม่กระเตื้องมากนัก รวมทั้งปัญหาภาคการส่งออก และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยสัดส่วนรายได้และส่งออกใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม มาม่ายังคงเป็นผู้นำตลาด ด้วยการครองส่วนแบ่งมากถึง 46%