“สมคิด” สั่งรถไฟปฏิรูปองค์กร ผลักดันลงทุนรถไฟทางคู่ทั่วประเทศ สั่งศึกษาเชื่อมรถไฟไปยังเมืองรอง หนุนท่องเที่ยว บูมเศรษฐกิจ ตั้งเป้า 4-5 ปีพลิกโฉมชิปโหมดคมนาคมขนส่งจากถนนสู่ราง “อาคม” เร่งศึกษารถไฟเชื่อมเมืองรอง พร้อมดันทางคู่ 9 สาย และรถไฟสีแดงกว่า 4 แสนล้าน ชง ครม.ในปี 61
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 5 เส้นทาง จำนวน 9 สัญญาระยะทาง 702 กิโลเมตร มูลค่าการก่อสร้างทั้งสิ้น รวม 69,531,000,000 บาท ว่า จะเป็นการพัฒนาเส้นทางรถไฟทางคู่ครั้งใหญ่ และจะทำให้เกิดการชิปโหมดการขนส่งและเดินทางจากถนนและเครื่องบินเป็นระบบราง ทั้งนี้ ที่ผ่านมารถไฟอ่อนแอ เพราะรัฐบาลสนับสนุนการลงทุนน้อยกว่าถนนและทางอากาศ แต่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ เพราะเห็นว่าระบบรถไฟมีต้นทุนที่ต่ำสามารถลดความเหลื่อมล้ำประชาชน ทำให้ผู้ประกอบการไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างชาติได้
ทั้งนี้ รัฐบาลเห็นว่าการเปลี่ยนขนส่งจากถนนสู่รางเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจะต้องก่อสร้างเส้นทางสายหลักเป็นระบบทางคู่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากนั้นจะต้องเชื่อมต่อสายหลักกับไปยังเมืองรอง และระหว่างเมืองรองกับเมืองรอง ซึ่งจะยกระดับทั้งการเดินทาง ขนส่ง และท่องเที่ยว ที่จะสามารถเชื่อมโยงกันระหว่างถนน รถไฟ เครื่องบิน และเรือ ได้อย่างสะดวก
นายสมคิดกล่าวว่า ในปี 2561 ร.ฟ.ท. กรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ท่าเรือ สนามบิน หารือร่วมกันเพื่อทบทวนแผนการขยายและต่อเชื่อมโครงข่าย โดยหลักการ หากโครงการใดเอกชนสามารถลงทุนได้ ให้เปิดให้เอกชนลงทุน ส่วนที่เอกชนไม่สนใจเพราะอาจจะไม่มีกำไร รัฐค่อยเข้าไปดำเนินการเอง ซึ่งรถไฟนั้นมีสินทรัพย์มูลค่ามหาศาล หากบริหารจัดการดี จะมีรายได้มหาศาล ดังนั้นรถไฟควรเร่งปฏิรูปองค์กร เชื่อว่าอีก 4-5 ปีจะมีการเปลี่ยนแปลง ส่วนเอกชนควรกล้าที่จะลงทุน ถ้าไม่กล้าคนอื่นจะเข้ามาลงทุนแทนแน่นอน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า รถไฟทางคู่ ระยะแรก อยู่ระหว่างการก่อสร้างแล้ว 2 เส้นทาง คือ ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย และชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น วันนี้ลงนามสัญญาเพื่อเริ่มก่อสร้าง อีก 5 เส้นทาง ระยะทาง 702 กม. และในปี 2561 จะเสนอรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 9 เส้นทาง และรถไฟสายสีแดง จำนวน 2 เส้นทาง วงเงินกว่า 4 แสนล้านบาท ขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งจะต่อขยายจากเส้นทางสายใต้ 3 เส้นทาง ได้แก่ ชุมพร-สุราษฎร์ธานี วงเงิน 24,293.54 ล้านบาท, สุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่ วงเงิน 51,823.28 ล้านบาท และหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ วงเงิน 57,374.70 ล้านบาท
สายเหนือ 3 เส้นทาง ได้แก่ ปากน้ำโพ-เด่นชัย วงเงิน 62,624.17 ล้านบาท, เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเป็นเส้นทางสายใหม่ และเด่นชัย-เขียงใหม่ วงเงิน 59,924.24 ล้านบาท ส่วนสายตะวันออกเฉียงเหนือ อีก 3 เส้นทาง คือ ขอนแก่น-หนองคาย วงเงิน26,662.40 ล้านบาท, ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี วงเงิน 37,431.22 ล้านบาท และช่วงบ้านไผ่-นครพนม วงเงิน 65,738.91 ล้านบาทซึ่งเป็นเส้นทางสายใหม่
นอกจากนี้ จะเสนอ ครม.อนุมัติ รถไฟสายสีแดงเข้ม รังสิต-มธ.รังสิต วงเงิน 7,596.94 ล้านบาท สายสีแดงอ่อน ศิริราช-ตลิ่งชัน-ศาลายา วงเงิน 17,671.61 ล้านบาท
นายอาคมกล่าวว่า เส้นทางรถไฟ ปัจจุบันมีประมาณ 4,000 กม. จะดำเนินการก่อสร้างเพิ่มอีกกว่า 1,000 กม. จะเป็นการเติมเส้นทางคู่เข้าไป ทำให้เกิดความสะดวก ย่นระยะเวลาเดินทาง มีความปลอดภัย ทั้งการขนส่งสินค้า เพื่อชิปโหมดการขนส่งจากรถยนต์ไปสู่รถไฟ และผู้โดยสาร ซึ่งตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้เชื่อมต่อเส้นทางรถไฟจากสายหลักกับสายรอง ซึ่งกระทรวงคมนาคมกำลังวางแผนเพื่อต่อเชื่อมเส้นทางรถไฟท้องถิ่นกับทางรถไฟสายหลัก
โดยเห็นว่าการต่อเชื่อมควรเป็นเส้นทางที่มีกายภาพเหมาะสม เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวร่วมด้วย เช่น จากกรุงเทพฯ-ลพบุรี-ปากน้ำโพ-พิษณุโลก-ลำปาง-เชียงใหม่นั้น ด้านซ้าย หากสามารถต่อไปยังกำแพงเพชร จะเชื่อมกับแหล่งท่องเที่ยว อุทยานมรดกโลก ศรีสัชนาลัยได้ หรือทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีนครราชสีมาเป็นชุมทางปัจจุบัน มีเส้นทางอีสานเหนือ คือ หนองคาย, อีสานใต้ ไปยังอุบลราชธานี อีสานกลาง คือ บ้านไผ่-นครพนม จะเติมเต็มช่วงอุดรธานี-ร้อยเอ็ด-สุรินทร์-ศรีสะเกษ เป็นโครงข่ายย่อย โดยจะศึกษาเรียบร้อยภายในปี 2561
นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กล่าวว่า ภายหลังจากการลงนามแล้ว จะให้ผู้รับจ้างเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1 ปี 2561 ให้แล้วเสร็จตามแผนภายในปลายปี 2565 รถไฟทางคู่ ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทางแล้วเสร็จ จะมีระยะทางเพิ่มขึ้นอีก 995 กิโลเมตร หรือเพิ่มขึ้น 24.6% ของเส้นทางรถไฟทั้งประเทศ ซึ่งสามารถพลิกโฉมการขนส่งทางรถไฟได้อย่างชัดเจน เพราะจะทำให้มีความจุของทางรถไฟเพิ่ม สามารถรองรับขบวนรถเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว มีความปลอดภัยในการขนส่งผู้โดยสาร และสินค้าเพิ่มขึ้น สามารถเพิ่มความรวดเร็วและความตรงต่อเวลา ในการเดินขบวนรถไฟได้อีกด้วย
สำหรับการลงนามสัญญาก่อสร้าง 5 เส้นทาง จำนวน 9 สัญญา ประกอบด้วย 1. รถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 136 กิโลเมตร สัญญาที่ 1 ช่วงมาบกะเบา-คลองขนานจิตร วงเงิน 7,560,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 48 เดือน
และสัญญาที่ 3 งานอุโมงค์รถไฟ วงเงิน 9,290,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 42 เดือน โดยมีบริษัทอิตาเลียนไทยฯ ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และกิจการร่วมค้า ไอทีดี-อาร์ที เป็นผู้รับจ้าง
รถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์ – ชุมพร ระยะทาง 168 กิโลเมตร สัญญาที่ 1 ช่วงประจวบคีรีขันธ์-บางสะพานน้อย วงเงิน 6,465,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 33 เดือน และสัญญาที่ 2 ช่วงบางสะพานน้อย-ชุมพร 5,992,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 36 เดือน โดยมีกิจการร่วมค้า เคเอส-ซี และ กิจการร่วมค้า เอสทีทีพี เป็นผู้รับจ้าง
รถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 169 กิโลเมตร สัญญาที่ 1 ช่วงนครปฐม-หนองปลาไหล วงเงิน 8,198,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 36 เดือน และสัญญาที่ 2 ช่วงหนองปลาไหล-หัวหิน วงเงิน 7,520,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 36 เดือน โดยมีบริษัท เอ เอส แอสโซซิเอส เอนยิเนียริ่ง 1964 จำกัด และ บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับจ้าง
รถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 145 กิโลเมตร สัญญาที่ 1 ช่วงบ้านกลับ-โคกกระเทียม วงเงิน 10,050,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 48 เดือน และสัญญาที่ 2 ท่าแค-ปากน้ำโพ วงเงิน 8,649,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 36 เดือน โดยมีกิจการร่วมค้า ยูเอ็น-เอสเอชและ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับจ้าง
รถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 84 กิโลเมตร วงเงิน 5,807,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน โดยมีบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับจ้างสัญญา