ผู้จัดการรายวัน360 - “อีลิท คาร์ด” เร่งล้างขาดทุนสะสม 770 ล้าน อีก 3 ปี ปรับกลยุทธ์รุก โชว์ปี 60 รายได้โต 64% กำไรเพิ่ม 93% หลังเปิดตัว 4 บัตรใหม่ เพิ่มช่องทางการขาย แต่งตั้งตัวแทนขายระดับโลก 2 รายซ้อน Henley & Partners และ IBC Aviation ปีหน้ามุ่งขยายฐานสมาชิกกลุ่ม นักลงทุน -
เจ้าของกิจการ ผู้เกษียณอายุที่ต้องการมาพำนักในไทย รวมทั้งกลุ่มที่ต้องการมาอยู่เป็นครอบครัว
นายพฤทธิ์ บุปผาคำ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายที่จะล้างผลขาดทุนสะสมทางบัญชีภายใน 3 ปี นับจากนี้ ซึ่งปัจจุบันเหลือประมาณ 770 ล้านบาท จากเดิมประมาณ 1,000 ล้านบาท ที่ผ่านมา ลดตัวเลขลงได้ประมาณปีละ 60 ล้านบาทแล้ว เนื่องจากแผนการดำเนินการงานที่ได้มีปรับกลยุทธ์ใหม่หลายอย่าง และการเปิดตัวบัตรแบบใหม่รวมทั้งการแสวงหาพันธมิตรทั้งในส่วนที่เป็นเอเย่นต์และส่วนบริการต่างๆ ในปีนี้และปีหน้า
สำหรับแผนปี 2561 (1 ตุลาคม 2560 - 30 กันยายน 2561) ยังมุ่งขยายฐานลูกค้ากลุ่มนักลงทุน เจ้าของกิจการ ผู้เกษียณอายุที่ต้องการมาพำนักในประเทศไทย และกลุ่มที่ต้องการมาอยู่เป็นครอบครัวเป็นลักษณะ Resident in Thailand เนื่องจากคนกลุ่มนี้คือกลุ่มอยู่ระยะยาวกว่าการท่องเที่ยวปกติ ย่อมต้องมีการซื้ออสังหาริมทรัพย์ หากตีราคาขั้นต่ำที่ 5 - 10 ล้านบาท โดยสมาชิกไทยแลนด์ อีลิทคาร์ดฯ เพียง 30% ที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 1,500 คน ก็เท่ากับยอดที่ซื้อกว่า 7,500 ล้านบาท ยังไม่รวมถึงการใช้บริการและการลงทุนใช้จ่ายในด้านอื่นๆ
โดยอนาคตบริษัทจะทำ Wealth management ให้กับลูกค้ากลุ่มนี้เพื่อรองรับการทำบริหารจัดการในเมืองไทย หาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาดูแล ตอบโจทย์ Vision ของบริษัทประจำปี 2561 ที่ว่า “Simply Extraordinary Country Residency program Crafted for Friends of Thailand” “บัตรสมาชิกเหนือระดับสำหรับบุคคลสำคัญของประเทศไทย”
นายพฤทธิ์ กล่าวถึงผลประกอบการประจำปี 2560 (1 ตุลาคม 2559 - 30 กันยายน 2560) ว่า บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินการ 662.95 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 400 ล้านบาท โต 65.73% จากเป้าหมายและเติบโต 64.32% จากปี 2559 ที่มีรายได้รวม 403.44 ล้านบาท (จากเป้าหมายปี 2559 ที่ตั้งไว้ 250 ล้านบาท) และกำไร 389.83 ล้านบาท โต 93.60% จากปี 2559 ที่มีกำไร 201.40 ล้านบาท ในปี 2560 บริษัทมีงบลงทุน กว่า 60 ล้านบาท ซึ่งหากมีการหักงบลงทุนในส่วนนี้ออก บริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินการจริงถึง 449.83 ล้านบาท หรือ 123.35% จากปี 2559
โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นมากจากยอดรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายสมาชิกใหม่ 1,021 ราย ค่าธรรมเนียมสมาชิก และความสามารถในการบริหารต้นทุนในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ต้นทุนในปีที่ผ่านมาไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก โดยมีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 35% โดยหากหักค่าใช้จ่ายด้านงบลงทุนของปี 2560 ออกเท่ากับว่า มีรายจ่ายเพิ่มเพียง 5.48% เท่านั้น โดยปี 2561 คาดว่าค่าใช้จ่ายจะลดลง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนเพียง 5 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2560 บริษัทสามารถล้างผลขาดทุนสะสมทางบัญชีเหลือที่ 770.92 ล้านบาท จากปีที่แล้ว (ปี 2559) ซึ่งมีอยู่ 890.93 ล้านบาท
ยอดสมาชิกของไทยแลนด์ อีลิทคาร์ดฯ ตั้งแต่เริ่มปี 2546 ถึงสิ้นปีงบประมาณ 2560 (30 ก.ย. 2560) มี 4,877 คน ขณะที่ตัวเลขวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 มีสมาชิกรวมทั้งหมด 5,040 คน (สมาชิกรุ่นแรก 2,459 คน และสมาชิกกรุ่นใหม่ 2,501 คน) บัตรที่ทำยอดขายได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. บัตร “อีลิทอีซี่ แอสเซส” ราคา 5 แสนบาท อายุบัตร 5 ปี สำหรับท่านที่เดินทางคนเดียว เข้าออกในประเทศไทยระยะสั้น 2. บัตร “อีลิทซูพีเรียริตี้เอ็กซ์เทนชั่น” ราคา 1 ล้านบาท อายุบัตร 20 ปี เหมาะสำหรับกลุ่มเกษียณอายุ หรือผู้ที่ต้องการพำนักในประเทศไทยในระยะยาว และ 3. บัตร “อีลิทแฟมิลี เอ็กซ์เคอร์ชัน” ราคา 8 แสนบาท อายุบัตร 5 ปี เพื่อการเข้าออกในประเทศไทยระยะสั้น เหมาะกับกลุ่มครอบครัวโดยเฉพาะ จากปัจจุบันบัตรไทยแลนด์ อีลิทมี 7 ประเภท ราคาตั้งแต่ 5 แสน - 2 ล้านบาท ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
“ปี 2560 ประสบความสำเร็จเพราะเปิดตัวบัตรใหม่ดังกล่าวข้างต้น การปรับปรุงสิทธิประโยชน์ของบัตรหลัก การเพิ่มช่องทางการขาย และตัวแทนจำหน่ายใหม่ๆ จากการที่มี Henley & Partners ที่มีออฟฟิศอยู่ 28 สาขาทั่วโลก เข้ามาช่วยทำตลาด และยังมี IBCAviation ที่เข้ามาดูแลเพิ่มในส่วนของตลาดยุโรป เช่น ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยี่ยม โมนาโก สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศในกลุ่ม French territories speaking รวมถึงการเดินทางไปโรดโชว์ยังประเทศกลุ่มเป้าหมายและร่วมกิจกรรมในงานอีเวนต์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เช่น ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง และจีน (ปักกิ่ง และ เซี่ยงไฮ้) ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้บัตรไทยแลนด์ อีลิทคาร์ดฯ มีความชัดเจนและความแข็งแกร่งขึ้น จากการเป็นหน่วยงานหนึ่งของภาครัฐที่มี ททท. ถือหุ้น 100%
“ผลจากไปทำงานโรดโชว์ พบว่า ประเทศไทยและโครงการบัตรฯ ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก โดยเฉพาะจีน ปี 2560 จีนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส และ ญี่ปุ่น จากปี 2559 ที่จีนอยู่อันดับ 2 ส่วนหนึ่งมาจากการที่เรามีตัวแทนขายอย่างบริษัท Globe Visa ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่อันดับต้นของโลก ซึ่งให้บริการด้าน Residency และ Citizenship Program แก่ชาวจีน” นายพฤทธิ์กล่าว