การบินไทย และแอร์บัส ร่วมลงนามในสัญญาความร่วมมือเพื่อประเมินโอกาสทางธุรกิจของโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา มูลค่าลงทุน 1.1 หมื่นล้าน “สมคิด” สั่งเร่งศึกษารายละเอียดธุรกิจเดินหน้า เซ็นสัญญาร่วมทุนแอร์บัส ในไตรมาส 1/61 การบินไทย เตรียมทุ่มกว่า 2 พัน ล. เร่งเปิดให้เริ่มดำเนินการธุรกิจซ่อมบำรุงอากาศยานในให้บริการในปี 64
วันนี้ (15 ธ.ค.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในพิธีลงนามในสัญญาความร่วมมือเพื่อประเมินโอกาสทางธุรกิจของโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อเป็นศูนย์กลางการซ่อมบำรุงอากาศยานระดับโลก ระหว่างบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท แอร์บัส โดยมี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส มิสเตอร์เพเทอร์ พรือเกล เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย ผู้แทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร ราชอาณาจักรสเปน และสหภาพยุโรป ประจำประเทศไทย พร้อมด้วยคณะกรรมการ บริษัท การบินไทยฯ ร่วมในพิธี
ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวเป็นการกำหนดขอบเขตในการหารือและวิเคราะห์เพื่อประเมินโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งในระยะแรกกำหนดไว้ 7 กิจกรรม ได้แก่ การจัดตั้งธุรกิจซ่อมบำรุงอากาศยานที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ซึ่งครอบคลุมถึงการซ่อมใหญ่อากาศยาน การซ่อมบำรุงอากาศยานระดับลานจอด และการพ่นสีอากาศยาน, การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมช่างซ่อมบำรุงอากาศยาน โดยร่วมมือกับสถาบันการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับนุนของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงการจัดตั้งโรงซ่อมชิ้นส่วนวัสดุอากาศยานแบบผสม หรือ Aircraft Composite Repair Shop, การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการซ่อมบำรุงอากาศยานเพื่อให้เป็นโรงซ่อมอากาศยานอัจฉริยะ (Smart Hanger), การจัดตั้งคลังอะไหล่และศูนย์โลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนการซ่อมอากาศยาน, การออกแบบและก่อสร้างอาคารและศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานฝให้เหมาะสม และการจัดตั้งโรงซ่อมบริภัณฑ์เพื่อสนับสนุนการซ่มบำรุงอากาศยานระดับลานจอด
นอกจากนั้น ยังจะจัดตั้งคณะกรรมการร่วมกันระหว่าง การบินไทย และแอร์บัส เพื่อเจรจา ศึกษา วิเคราะห์ ประเมิน และตัดสินใจในการทำธุรกิจร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม หากการประเมินโอกาสทางธุรกิจในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งบรรลุผลร่วมกันก็จะสามารถนำไปสู่การทำสัญญาร่วมทุนในแต่ละกิจกรรมต่อไป โดยมีเป้าหมายแรกคือกิจกรรมการจัดตั้งธุรกิจซ่อมบำรุงอากาศยานที่คาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 62
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวว่า ในปี 2561 เศรษฐกิจของประเทศไทยจะคิกออฟครั้งใหญ่ อีกทั้งความเจริญทางเศรษฐกิจจะมุ่งสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าสู่ประเทศไทยปีละ 34 - 35 ล้านคน เที่ยวบินจำนวนมาก จะทำให้สนามบินอู่ตะเภา เป็นศูนย์กลางทางการบินได้แน่นอน ซึ่งจากการศึกษาร่วมกัน ไทยมีโอกาสสูง และต้องเร่งดำเนินการ โดยได้เร่งให้การบินไทยและแอร์บัส ลงนามในการร่วมทุนให้ได้ ภายในไตรมาส 1 ปี 2561 ซึ่งการเร่งดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับที่ทางสหภาพยุโรป (EU) ได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศไทย ถือเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะร่วมลงทุนกับประเทศฝรั่งเศส โดยใช้โอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปเยือนประเทศฝรั่งเศสในต้นปี 61 ในการลงนามเซ็นสัญญาร่วมทุนกับแอร์บัส ที่เมืองตูลูส
“ก่อนหน้าที่จะเซ็นสัญญาร่วมทุนในไตรมาส 1 ปีหน้า แอร์บัสจะเริ่มในส่วนของบริการซ่อมบำรุงให้การบินไทย โดยเป็นความร่วมมือกันก่อนและถ่ายทอดเทคโนโลยี มีการตั้งสถาบันขึ้นมา โดยจะต้องเร่งหาพื้นที่ให้ดำเนินการ จำนวนเครื่องบิน นักท่องเที่ยว 36 ล้านคนต่อปี และได้เจรจาดึงพันธมิตรจากประเทศจีน สายการบินสายการบินลุฟต์ฮันซ่า จากเยอรมนี และสายการบินเวียตเจ็ท ซึ่งเป็นสายการบินที่มีขนาดฝูงบินใหญ่มาเป็นลูกค้าหลัก ดังนั้น ศูนย์ซ่อมนี้จะต้องเกิดขึ้นในไทยแน่นอน”
ด้าน เรืออากาศโท รณชัย วงศ์ชะอุ่ม ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา การบินไทย กล่าวว่า โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา มีงบลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สนามบินอู่ตะเภา โดยกองทัพเรือในฐานะเจ้าของพื้นที่ จำนวน 7 พันล้านบาท และ 2. การลงทุนด้านอุปกรณ์ เครื่องมือ วงเงินประมาณ 4 พันล้านบาท ซึ่งการบินไทย และ แอร์บัส จะลงทุนฝ่ายละ 50% เป็นลักษณะการร่วมลงทุนแบบ PPP โดยมีอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) โครงการนี้ เฉลี่ย 13% ต่อปี และมีระยะเวลาคืนทุน 11 ปี
ทั้งนี้ คาดว่า ใน 20 ปีข้างหน้า จำนวนเครื่องบินที่ให้บริการในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มเป็น 17,000 ลำ จากปัจจุบันมีกว่า 3,000 ลำ หรือมีเครื่องบินใหม่เพิ่มขึ้นอีก 14,000 ลำ ตามวงรอบเครื่องบินจะต้องเข้าสู่การซ่อมใหญ่ ทุก 5 ปี ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานระดับ World Class MRO อันดับหนึ่งของโลกได้
เรืออากาศโท รณชัย กล่าวว่า ตามขั้นตอน จะนำเสนอ คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียง เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กนศ.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในเดือน ก.พ. 61 จากนั้นจะเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยจะเปิดให้บริการในปี 64 ซึ่งเลื่อนขึ้นมาเร็วขึ้นจากเดิมกำหนดปี 65 ตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ในส่วนของรัฐจะต้องพัฒนาขยายศักยภาพสนามบินอู่ตะเภาให้สอดคล้องกันด้วย
นายฌอง ฟรองซัวร์ ลาวาล รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายกิจการลูกค้าประจำภูมิภาคเอเชีย บริษัท แอร์บัส กล่าวว่า แอร์บัสภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งแผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกที่จะช่วยเปิดโอกาสที่ดีทางธุรกิจให้กับบริษัทพันธมิตรและซัพพลายเออร์ ทางด้านการบินได้หลายบริษัท และในช่วงที่ผ่านมาการบินไทยและแอร์บัสได้ประเมินศูนย์ให้บริการซ่อมบำรุงอากาศยาน และเราได้เห็นถึงศักยภาพของประเทศที่มีความพร้อมเรื่องทำเลทางภูมิศาสตร์ที่ควบคู่ไปกับแรงงานที่มีฝีมือและศักยภาพทางการตลาด
สนามบินอู่ตะเภา สามารถรองรับอากาศยานได้ทุกขนาด และยังมีโรงงานซ่อมบำรุงแบบครบครันที่ดำเนินการโดยการบินไทยอยู่แล้ว โดยมีแรงงานฝีมือที่ชำนาญการ และในช่วงปีหน้านี้ทางการบินไทยจะเริ่มการบำรุงรักษาเครื่องบิน เอ 380 โดยการดูแลของทีมแอร์บัสที่อยู่ที่สนามบินอู่ตะเภา และในอีก 10 ปีข้างหน้า จะมีการสร้างโรงเก็บเครื่องบินแห่งใหม่ และในที่สุดสนามบินอู่ตะเภาจะกลายเป็นสนามบินที่มี 2 รันเวย์ ที่เติบโตและมีศักยภาพ