ผู้จัดการรายวัน 360 - “ซีพีแรม” สบช่องวิถีชีวิตชนบทสู่คนเมืองขยายตัว อัด 4,000 ล้านบาทผุด 5 โรงงาน เพิ่มกำลังผลิตอาหารสำเร็จรูป 70% ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มองหาความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต หลังพบปีนี้ยอดขายพุ่ง15% สู่ 16,244 ล้านบาท
นายวิเศษ วิศิษฏ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารพร้อมรับประทานในไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์คนเริ่มเปลี่ยนไปอาศัยอยู่ในตัวเมืองมากขึ้น เมืองใหญ่เริ่มขยายตัวและคนชนบทก็เริ่มเข้ามาอาศัยในตัวเมืองซึ่งมีพื้นที่จำกัด จึงทำให้พฤติกรรมการปรุงอาหารเองน้อยลงแล้วหันมามองหาสินค้าที่สะดวก อุ่นร้อน และมีความหลากหลายมากขึ้น
ส่งผลให้บริษัทได้ใช้เงินลงทุน 4,000 ล้านบาทสร้างโรงงานใหม่อีก 5 แห่ง เพื่อขยายกำลังการผลิตอาหารสำเร็จรูปแบบเยือกแข็งและแช่เย็นเพิ่มอีก 50-70% เน้นอาหารกลุ่มข้าวกึ่งปรุงสุกเป็นหลัก เช่น ข้าวกล่อง ขนมจีบ ซาลาเปา ที่จะเข้าไปจำหน่ายในช่องทางร้านอาหาร ภัตตาคาร และตู้กดอัตโนมัติในคอนโดมิเนียม เพื่อจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกและมีพื้นที่ปรุงอาหารจำกัด คาดว่ายอดขายโตไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี
จากปัจจุบันผลิตอาหารได้ปีละประมาณ 130 ล้าน กก. เน้นจำหน่ายสินค้า 3 กลุ่มหลัก คือ อาหารพร้อมรับประทานในอุณหภูมิปกติ เช่น เบเกอรี ขนมปังสอดไส้ สัดส่วน 40%, อาหารแช่เยือกแข็ง เช่น ข้าวกล่อง 30% และอาหารแช่เย็น เช่น ซูชิ ครัวซองต์ 30% หรือภายในปีนี้คาดว่ามียอดขาย 16,244 ล้านบาท เติบโต 15%
ทั้งนี้ บริษัทยังใช้เงินลงทุน 1% ของยอดขายรวม หรือปีละ 150-200 ล้านบาท ในการวิจัยและพัฒนาอาหารด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ กลุ่มอาหารสุขภาพและอาหารคนไข้เฉพาะทาง เช่น ผู้สูงวัย อาหารเด็ก และอาหารของผู้ป่วยโรคเบาหวาน พร้อมกับนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบการผลิตอัตโนมัติมาใช้ทำงานในจุดที่ทำงานหนักและมีความเสี่ยงต่อสุขภาพด้วย
นายวิเศษกล่าวต่อว่า สำหรับโรงงานใหม่นี้แบ่งเป็น 3 แห่งในที่ตั้งเดิม คือ ชลบุรี ขอนแก่น และปทุมธานี ส่วนอีก 2 แห่ง คือ ลำพูน และสุราษฎร์ธานี ไม่เน้นสร้างในพื้นที่ขนาดใหญ่ เพราะต้องการสร้างวงจรเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคที่เกิดการจ้างงานเพิ่ม ขณะเดียวกันบริษัทยังได้เข้าใกล้แหล่งวัตถุดิบในท้องถิ่น และช่วยให้อาหารที่ผลิตออกจากโรงงานกระจายไปสู่ร้านค้าในเวลาสั้นลง จากเดิมต้องใช้เวลา 6-7 ชม. ลดเหลือ 2-3 ชม.แทน
นายวิเศษ วิศิษฏ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารพร้อมรับประทานในไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์คนเริ่มเปลี่ยนไปอาศัยอยู่ในตัวเมืองมากขึ้น เมืองใหญ่เริ่มขยายตัวและคนชนบทก็เริ่มเข้ามาอาศัยในตัวเมืองซึ่งมีพื้นที่จำกัด จึงทำให้พฤติกรรมการปรุงอาหารเองน้อยลงแล้วหันมามองหาสินค้าที่สะดวก อุ่นร้อน และมีความหลากหลายมากขึ้น
ส่งผลให้บริษัทได้ใช้เงินลงทุน 4,000 ล้านบาทสร้างโรงงานใหม่อีก 5 แห่ง เพื่อขยายกำลังการผลิตอาหารสำเร็จรูปแบบเยือกแข็งและแช่เย็นเพิ่มอีก 50-70% เน้นอาหารกลุ่มข้าวกึ่งปรุงสุกเป็นหลัก เช่น ข้าวกล่อง ขนมจีบ ซาลาเปา ที่จะเข้าไปจำหน่ายในช่องทางร้านอาหาร ภัตตาคาร และตู้กดอัตโนมัติในคอนโดมิเนียม เพื่อจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกและมีพื้นที่ปรุงอาหารจำกัด คาดว่ายอดขายโตไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี
จากปัจจุบันผลิตอาหารได้ปีละประมาณ 130 ล้าน กก. เน้นจำหน่ายสินค้า 3 กลุ่มหลัก คือ อาหารพร้อมรับประทานในอุณหภูมิปกติ เช่น เบเกอรี ขนมปังสอดไส้ สัดส่วน 40%, อาหารแช่เยือกแข็ง เช่น ข้าวกล่อง 30% และอาหารแช่เย็น เช่น ซูชิ ครัวซองต์ 30% หรือภายในปีนี้คาดว่ามียอดขาย 16,244 ล้านบาท เติบโต 15%
ทั้งนี้ บริษัทยังใช้เงินลงทุน 1% ของยอดขายรวม หรือปีละ 150-200 ล้านบาท ในการวิจัยและพัฒนาอาหารด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ กลุ่มอาหารสุขภาพและอาหารคนไข้เฉพาะทาง เช่น ผู้สูงวัย อาหารเด็ก และอาหารของผู้ป่วยโรคเบาหวาน พร้อมกับนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบการผลิตอัตโนมัติมาใช้ทำงานในจุดที่ทำงานหนักและมีความเสี่ยงต่อสุขภาพด้วย
นายวิเศษกล่าวต่อว่า สำหรับโรงงานใหม่นี้แบ่งเป็น 3 แห่งในที่ตั้งเดิม คือ ชลบุรี ขอนแก่น และปทุมธานี ส่วนอีก 2 แห่ง คือ ลำพูน และสุราษฎร์ธานี ไม่เน้นสร้างในพื้นที่ขนาดใหญ่ เพราะต้องการสร้างวงจรเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคที่เกิดการจ้างงานเพิ่ม ขณะเดียวกันบริษัทยังได้เข้าใกล้แหล่งวัตถุดิบในท้องถิ่น และช่วยให้อาหารที่ผลิตออกจากโรงงานกระจายไปสู่ร้านค้าในเวลาสั้นลง จากเดิมต้องใช้เวลา 6-7 ชม. ลดเหลือ 2-3 ชม.แทน