ผู้จัดการรายวัน360 - จับตาปีหน้า Amazon รุกตีอีคอมเมิร์ซไทย หลังพบปีก่อนอีคอมเมิร์ซไทยแตะ 2,900 ล้านยูเอส ลุ้นปี 2025 มีมูลค่าสูงถึง 11,100 ล้านยูเอส “เอคอมเมิร์ซ” ประกาศระดมทุน 2,140 ล้านบาทรับการแข่งขัน หวัง 5 ปีรายได้โต 5 เท่า
นายพอล ศรีวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท aCommerce ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ประกาศระดมทุนระดับ Series B มูลค่า 65 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2,140 ล้านบาท ประกอบด้วย เอ็มเมอรัล มีเดีย, บลูสกาย, MDI และ DKSH เพื่อนำมาจัดสรรและลงทุนในหลากหลายด้าน เช่น
1. การสร้างความแข็งแกร่งของเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มของบริษัทที่จะทำให้แบรนด์สามารถจัดจำหน่ายผ่านช่องทาง B2C ได้ในรูปแบบบูรณาการ เช่น ร้านค้าของออนไลน์ มาร์เกตเพลสบนโลกออนไลน์ อย่าง Lazada, Shopee และช่องทางออฟไลน์อื่นๆ และช่องทางแบบ B2B เช่น ร้านค้าปลีกออนไลน์และออฟไลน์ 2. ขยายพันธมิตรภายในระบบนิเวศการค้าปลีกของประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ไทย และฟิลิปปินส์ และ 3. ช่วยลูกค้าขยายธุรกิจในประเทศใหม่ อย่างมาเลเซีย และเวียดนาม
“การระดมทุนครั้งนี้เกิดจากพบว่าหลายแบรนด์กำลังก้าวเข้าสู่การทำธุรกิจแบบหลากหลายช่องทาง พร้อมความต้องการโมเดลธุรกิจในแบบ Business to All (B2A) เพราะการมีแค่เว็บไซต์ในช่วงเวลาที่ภูมิภาคนี้กำลังก้าวสู่โลกออนไลน์นั้นอาจจะไม่เพียงพอ แบรนด์เริ่มตระหนักถึงการให้บริการที่เชื่อมต่อจากหลากหลายช่องทาง และความสำคัญของข้อมูลเพื่อที่จะอยู่รอดในอุตสาหกรรมการค้าปลีก ขณะที่ลูกค้าต้องการเข้าถึงแบรนด์โปรดของพวกเขาได้ทุกเวลาผ่านทุกแพลตฟอร์ม”
นายทอม ศรีวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท aCommerce ประเทศไทย กล่าวต่อว่า การระดมทุนครั้งนี้จะใช้ในช่วง 2-3 ปีหลังจากนี้ เชื่อว่าจะทำให้จากเดิมบริษัทเป็นอันดับ 1 ใน 4 ประเทศของอาเซียน จะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ใน 6 ประเทศได้ ซึ่งอีก 2 ประเทศใหม่ คือ มาเลเซีย และเวียดนามจะเริ่มเข้าไปทำตลาดได้ในช่วงครึ่งปีหลังในปีหน้า เชื่อว่าจากแผนที่วางไว้ภายใน 3-5 ปี รายได้จะเติบโตอีกไม่ต่ำกว่า 3-5 เท่า จากปัจจุบันบริษัทมีลูกค้ากว่า 196 รายในไทย โตขึ้น 75% ขณะที่ในแง่รายได้ของปีนี้มีการเติบโตกว่า 2.5 เท่าเทียบกับปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ปีหน้าอีคอมเมิร์ซไทยจะมีความคึกคักมากขึ้น เพราะจะมียักษ์คอมเมิร์ซเข้ามาทำตลาดเพิ่ม ทั้ง JD.com และ Amazon ซึ่งมองว่าภาครัฐควรให้การสนับสนุนด้านตลาดอีคอมเมิร์ซ เช่น ลดภาษีนำเข้า เพราะสามารถช่วยลดการนำเข้าสินค้าเลี่ยงภาษีได้ในรูปแบบพรีออเดอร์
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Google และ Temasek พบว่า ภูมิภาคอาเซียนนี้จะมีอัตราการเติบโตของการชอปปิ้งออนไลน์สูงถึง 32% ต่อปี ซึ่งมองว่าภายใน 10 ปีข้างหน้าจะมีผู้เล่นรายใหญ่ อย่าง JD.com, Amazon และ Alibaba เข้ามาขยายตลาดค้าปลีกในภูมิภาคนี้ ขณะที่ในปี 2560 นี้แบรนด์ดังอย่าง มาร์ส เนสท์เล่ และยูนิลีเวอร์ ได้จัดตั้งการบริการทางอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่งในภูมิภาคนี้กับ aCommerce
ขณะที่ตลาดค้าปลีกรวมไทยปี 2016 มีมูลค่า 116,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยอีคอมเมิร์ซมีสัดส่วนอยู่ราว 2.5% หรือราว 2,900 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2025 ตลาดค้าปลีกจะเพิ่มเป็น 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และอีคอมเมิร์ซจะมีสัดส่วนเป็น 5.5% หรือมีมูลค่ากว่า 11,100 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากหัวข้อ One Stop Shop For Brands in ASEAN มองว่า อนาคตภาพของรีเทลจะเปลี่ยนไปใน 3 รูปแบบ คือ 1. Digital frist เช่น ในเรื่องของ Discovery&Price, Impulse&Research และ Convenience&Trust 2. Omni-channel เช่น Online to Offline, Pay, Pickup&Drop off และ 3. Direct to Customer เช่น Private Label Brands, end to end Data และ Own the Customer