xs
xsm
sm
md
lg

“เซ็นทรัล” ลุ้นไลเซนส์ลุยอี-คอมเมิร์ซ ผนึก “เจดี” ทุ่มแสนล้านดันออนไลน์ 15%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ทศ จิราธิวัฒน์ (ซ้าย) ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และ ริชาร์ด หลิว (ขวา) ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดีดอทคอม จำกัด
ผู้จัดการรายวัน 360 - “ทศ” ชี้ค้าปลีกสู่ยุคไซเบอร์เทรด คือสาเหตุต้องร่วมทุนกับ เจดีดอตคอม ยักษ์อี-คอมเมิร์ซจากจีน “ญนน์” รับต้องรอลุ้นใบอนุญาตจากทางการก่อน คาดไตรมาสสองปีหน้าเริ่มได้ ลงทุนเบื้องต้น 1.7 หมื่นล้าน เจดีดอตคอมพร้อมลุยต่อเนื่องอีก 100,000 ล้านบาท

นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า การร่วมทุนระหว่าง กลุ่มเซ็นทรัล กับ บริษัท เจดี ดอตคอม จำกัด ยักษ์ใหญ่อี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดของจีน ในการตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้เทรดมาร์ก เจดี เซ็นทรัล และสร้างแพลตฟอร์มใหม่ชื่อว่า JD.co.th เพื่อรุกธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในไทยและขยายไปยังต่างประเทศในอนาคต คาดว่าจะเริ่มธุรกิจได้ในปี 2561 ตอกย้ำยุทธศาสตร์ดิจิตอล เซ็นทราลิตี้ (Digital Centrality)

“ค้าปลีกในโลกยุคใหม่เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่แข่งที่ความเป็นโมเดิร์นเทรดอีกแล้ว แต่แข่งกันที่เทคโนโลยีแบบไซเบอร์เทรด และพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปแล้ว เราต้องปรับตัว ซึ่งธุรกิจอี-คอมเมิร์ซนั้นเปิดกว้าง เราเองก็มีความสนใจในโครงการอีอีซีของภาครัฐด้วย ถือว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมพอดีกัน”

การร่วมมือกันในครั้งนี้ไม่เพียงสร้างประสบการณ์ชอปปิ้งไร้รอยต่อให้แก่ลูกค้า (Seamless Shopping experience) แต่ยังสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของภาครัฐ ที่เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เท่าทันโลกดิจิตอล, เพิ่มอัตราการจ้างงาน และส่งเสริมการส่งออกของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) รวมไปถึงการมีส่วนช่วยพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยการจัดตั้งสำนักงานใหญ่เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านดิจิตอลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

นายญนน์ โภคทรัพย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า การประกอบธุรกิจดังกล่าวขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการขอนุญาตจากทางการ คาดว่าคงจะได้รับอนุมัติและเริ่มดำเนินการได้อย่างจริงจังภายในไตรมาสสองปีหน้า (2561) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่จะทำให้กลุ่มเซ็นทรัลก้าวสู่การเป็นค้าปลีกแห่งโลกดิจิตอลยุค 4.0 ผ่านดิจิตอลอีโคซิสเต็มที่ครบวงจรและแข็งแกร่งที่สำคัญ 4 ด้าน คือ

1. อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) รวบรวมหลากหลายร้านค้า แฟลกชิพสโตร์ของกลุ่มเซ็นทรัล และสินค้าคุณภาพนานาชนิด ทั้งของไทย และต่างชาติ รวมถึงสินค้า SME ในราคาที่เป็นธรรม พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ บนเว็บไซต์ที่ใช้ง่าย เหมาะแก่ลูกค้าทั่วโลกทุกเพศวัย (User-friendly)

2. อีลอจิสติกส์ (E-logistic) พลิกโฉมการขนส่งสินค้าแบบเดิมๆ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่จะทำให้การขนส่งรวดเร็วแม่นยำยิ่งขึ้น เช่น การใช้โดรน, ออโต้คาร์ ฯลฯ พร้อมระบบการจัดการห่วงโซ่อุปสงค์ และอุปทาน และคลังสินค้าที่ทันสมัย

3. อีไฟแนนซ์ (E-finance) พัฒนาบริการฟินเทค อำนวยความสะดวกด้านไฟแนนซ์ให้แก่ลูกค้า และซัพพลายเออร์ มุ่งสร้าง ‘อีวอลเล็ต’ (E-wallet) และบริการทางการเงินออนไลน์อื่นๆ ที่ใช้งานง่าย เตรียมพร้อมเข้าสู่ Cashless society ในอนาคต

4. เทคโนโลยี และข้อมูล (Technology and data) ระดมเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาเสริมการพัฒนาธุรกิจทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่, เทคโนโลยีคลาวน์, AI, แชตบอต เพื่อใช้ในการปรับปรุงเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ และบริการฟินเทคให้ตอบโจทย์ลูกค้า รวมถึงการใช้เทคโนโลยีโดรน ออโต้คาร์ และระบบโรโบติก ออโตเมต ในการจัดการคลังสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านลอจิสติกส์ และการขนส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค

กลุ่มเซ็นทรัล มียอดขายรวมเมื่อสิ้นปีที่แล้ว (2559) ประมาณ 320,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 15% โดยมีสัดส่วนรายได้จากทางออนไลน์ หรืออี-คอมเมิร์ซไม่ถึง 1% แต่เป้าหมายจากนี้อีก 5 ปี กลุ่มเซ็นทรัลจะต้องมีรายได้จากช่องทางออนไลน์ หรืออี-คอมเมิร์ซ สัดส่วน 15% และรายได้จากออฟไลน์สัดส่วน 85% ขณะที่ทางเจดีดอตคอมนั้น ก่อนหน้านี้ ก็มีการซื้อสินค้าจากไทยโดยตรงไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะเพิ่มจากการซื้อตรงเองและผ่านการรวมทุนนี้ไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาทได้ในอนาคต

จากแผนงานต้องสร้าง 1. สร้างแพลตฟอร์มและทดลองใช้ในธุรกิจภายในเครือก่อน 2. สร้างอินฟราสตรัคเจอร์รองรับแพลตฟอร์ม 3. สร้างแวร์เฮาส์ที่มีมาตรฐานรองรับ ผสมกับแวร์เฮาส์เดิมของเซ็นทรัลที่มีอยู่แล้ว 4. สร้างเพย์เมต์เกตเวย์และการทำคอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ ที่ครบวงจรสมบูรณ์แบบ 5. นำผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มากกว่า 3 ล้านรายในไทยเข้าสู่แพลตฟอร์มนี้ และซัปพลายเออร์ทั้งเก่าที่ทำกันอยู่ 10,000 รายและซัปพลายเออร์ใหม่เข้าระบบ

เบื้องต้นใช้งบกว่า 17,500 ล้านบาท ลงทุนทุกด้าน ทั้งแวร์เฮาส์ การวางระบบไอที อินฟราสตรักเจอร์ เป็นต้น ซึ่งแบ่งการลงทุนเท่ากัน โดยเมื่อระบบเสร็จ ทุกคนสามารถเข้ามาใช้บริการและต่อยอดได้ ขยายตลาดได้ เพราะสินค้าทั้งหมด ที่ปรากฏหน้าเว็บ เจดีดอตซีโอดอตทีเอช ก็ปรากฏบนหน้าเว็บ เจดีดอทคอม ที่จีนด้วย และคาดว่ามูลค่าส่งออกสินค้าไทยไปจีนไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทภายใน 2 ปีจากนี้

นายริชาร์ด หลิว ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดีดอตคอม จำกัด กล่าวว่า บริษัท เจดีดอตคอม ได้ร่วมลงทุนกับบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ด้วยงบประมาณเบื้องต้น 17,500 ล้านบาท และมีเป้าหมายที่จะลงทุนต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทย มีประชากรจำนวนมากกว่า 70 ล้านคน มีโคงงสร้างพื้นฐานทันสมัย การให้บริการทางอินเทอร์เน็ตครอบคลุม เอื้อต่อการพัฒนาบริการด้านอี-คอมเมิร์ซ และฟินเทค

นอกจากนี้ การได้ร่วมงานกับกลุ่มเซ็นทรัลซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกครบวงจรของประเทศไทย ทำให้เราเข้าใจลูกค้า และสามารถวางกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ตลาดไทยได้ อันจะเป็นการเสริมศักยภาพให้เจดี เซ็นทรัลสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า, เกื้อหนุนธุรกิจ SMEs ให้เติบโต, เพิ่มอัตราการส่งออกสินค้าไทย และพัฒนาจนกลายเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

นายวินเซนต์ หยาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลเจดี คอมเมิร์ซ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดในไทยใกล้เคียงกับในจีน มีความคล้ายกันหลายอย่างทั้งทางด้าน ความหนาแน่นของประชากร จีดีพีต่ออคน และความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ และการได้พันธมิตรดีอย่างเซ็นทรัล ทำให้เราตัดสินใจรุกตลาดไทย ที่เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงกับเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ได้ ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เจดีดอตคอมก็ได้เข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียด้วยการร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่น และไทยก็เป็นประเทศที่สองที่มาลงทุนนอกจีน

JD.com บริษัทค้าปลีก-อีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในเชิงของรายได้ บริษัทต้องการมอบประสบการณ์การชอปปิ้งออนไลน์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภค มีการออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย และมีแอปพลิเคชันสำหรับตลาดประเทศจีนโดยเฉพาะ รวมทั้งยังรองรับการซื้อผ่าน WeChat และ Mobile QQ อีกด้วย JD มอบประสบการณ์การชอปปิ้งที่แตกต่าง และทำให้บริษัทมีโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดในแวดวงอีคอมเมิร์ซประเทศจีน ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 JD.com มีสำนักงาน 7 แห่ง และโกดังสินค้า 335 แห่งใน 2,691 เขตและเมืองทั่วประเทศจีน ดูแลโดยพนักงานของบริษัทเองทั้งหมด JD.com เป็นสมาชิก NASDAQ100 และเป็นบริษัทที่มีชื่ออยู่ใน Fortune Global 500
กำลังโหลดความคิดเห็น