xs
xsm
sm
md
lg

ดิจิตอลทำ “ขายตรงไทย” เดือด คาดตลาดรวมปี 61 ทะลุแสนล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สุชาดา ธีรวชิรกุล
ผู้จัดการรายวัน 360 - ตลาดรวมขายตรงปี 60 นี้คาดโตแค่ 2% ชี้ปีหน้าตลาดรวมแข่งรุนแรง ทั้งจากขายตรง ช่องทางค้าปลีก และดิจิตอลแพลตฟอร์ม มั่นใจดันตลาดรวมโต 5% เหมือนในอดีต ทะลุแสนล้านบาท เผยกลุ่มเสริมอาหารสุขภาพขึ้นเป็นสินค้าที่หนึ่งแซงหน้าสกินแคร์ ไทยพร้อมรับเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสมาพันธ์การขายตรงโลกปี 63

นางสาวสุชาดา ธีรวชิรกุล นายกสมาคมการขายตรงไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจขายตรงในภาพรวมปีหน้า (2561) คาดว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งจากบริษัทขายตรงด้วยกันเอง และกลุ่มธุรกิจของค้าปลีกรวมไปถึงช่องทางออนไลน์ ที่ทุกวันนี้กำแพงขวางกั้นของช่องทางต่างๆ เหล่านี้แทบจะไม่มีแล้ว ซึ่งทำให้ธุรกิจขายตรงต้องมีการวางแผนและปรับตัวเพื่อรองรับทั้งช่องทางค้าปลีกที่มีการพัฒนาศักยภาพ และดิจิตอลแพลตฟอร์มที่รุกหนักมากขึ้น

“ขายตรงบางบริษัท ปีนี้มีการเติบโตของยอดขายเพิ่มมากกว่า 200-300% มาแล้ว เพราะช่องการขายผ่านดิจิตอลแพลตฟอร์มที่มีการพัฒนารองรับโลกโซเชียลแล้ว หรือในแง่ของบริษัทขายตรงที่เกิดใหม่ก็มีไม่ต่ำกว่าเป็นร้อยบริษัทในแต่ละปี ซึ่งช่องทางดิจิตอลแพลตฟอร์มก็เป็นช่องทางหลักในการทำตลดาดทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ช่องทางออนไลน์หรือดิจิตอลแพลตฟอร์มก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเหมือนกัน”

ทั้งนี้ คาดว่าในปีหน้า (2561) ธุรกิจขายตรงรวมจะกลับมาเติบโตได้ในอัตรา 5% ซึ่งใกล้เคียงกับในอดีตที่เคยโตถึง 4-5% มาแล้ว หรือมีมูลค่ารวมกว่า 100,000 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงสามไตรมาสปี 2560 นี้ธุรกิจขายตรงรวมมีการเติบโตเพียง 2% เท่านั้น และคาดว่าทั้งปี 2560 นี้ตลาดรวมจะมีมูลค่ารวมประมาณ 95,000 ล้านบาท เติบโต 2% เช่นกัน จากปี 2559 ที่มีมูลค่า 93,000 ล้านบาท โดยมีนักธุรกิจขายตรงในไทยกว่า 11 ล้านคน และรายได้รวมของสมาชิกในสมาคมฯ ซึ่งมี 32 บริษัทก็มีรายได้รวมกันมากกว่า 70% ของตลาดรวมแล้ว

สำหรับปัจจัยบวกที่ยังคงทำให้ธุรกิจขายตรงในไทยเติบโตได้ต่อเนื่องหลักๆ คือ 1. การปรับตัวของธุรกิจขายตรงเข้าสู่ยุคดิจิตอล ที่มีเทคโนโลยีและโซเชียลเน็ตเวิร์กในการทำธุรกิจ 2. จากแนวโน้มการเป็นสังคมชุมชนหรือคอมมูนิตีของโลก ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของธุรกิจขายตรงอยู่แล้ว ที่เป็นการทำธุรกิจแบบคอมมูนิตีดูแลซึ่งกันและกันเป็นเครือข่าย ทำให้ขายตรงยังคงเติบโตไปได้ตามแบบธรรมชาติที่เป็นอยู่อย่างมั่นคง ไม่ต้องปรับตัวอะไรมากนัก 3. ขายตรงเติบโตเพราะมีสินค้าหลากหลาย มากมาย เจาะกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม 4. ความต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะช่วงอายุ 25-35 ปี มีมากขึ้นหรือกลุ่มมิลเลนเนียม ขายตรงเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เข้ามาทำมาก และ 5. ช่องทางการขายตรงถือเป็นช่องทางที่มีความใกล้ชิดกับผู้บริโภคมาก

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบหลักๆ ที่ยังคงมีผลต่อธุรกิจขายตรง เช่น 1. สภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีและเติบโตช้า กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง แต่ก็เป็นเฉพาะบางกลุ่ม 2. การแข่งขันในตลาดรวมขายตรงจะมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าบำรุงผิว และเครื่องสำอาง เพราะมีสินค้าใหม่หลายแบรนด์ออกวางตลาดต่อเนื่องส่งผลต่อแบรนด์เดิมในตลาด ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือสินค้าเพื่อสุขภาพ มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 30% แซงหน้ากลุ่มสกินแคร์ที่มีแชร์เหลือ 28% มาประมาณ 3 ปีแล้ว ซึ่งเดิมสกินแคร์เคยมีสัดส่วนตลาดถึง 30% มาแล้ว ขณะที่เสริมอาหาร เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมามีสัดส่วนเพียงแค่ 10% เท่านั้นเอง

ล่าสุด สมาคมการขายตรงไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมสมาพันธ์การขายตรงโลก หรือ WFDSA 2020 WORLD CONGRESS ครั้งที่ 16 ในปี 2563 ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ที่อยู่ในธุรกิจขายตรงเข้าร่วมประชุมมากกว่า 1,000 คน

สำหรับตลาดรวมขายตรงทั่วโลก ในปี 2559 ที่ผ่านมามีนักขายตรงทั่วโลกถึง 107 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.1% จากปี 2558 และมีมูลค่าตลาดรวมธุรกิจขายตรงทั่วโลกอยู่ที่ 182.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปี (ปี 2556-2559) อยู่ที่ 5.2% โดยภูมิภาคที่มีสัดส่วนยอดขายสูงสุด ได้แก่ ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่มีสัดส่วนยอดขายถึง 46% มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปี อยู่ที่ 6.7%, ภูมิภาคอเมริกา มีสัดส่วนยอดขาย 33% เติบโตเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ 3.3%, ในขณะที่ภูมิภาคยุโรป มีสัดส่วนยอดขาย 20% เติบโตเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ 4.9% และแอฟริกา / ตะวันออกกลาง มีสัดส่วนยอดขาย 1% มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ 6.0%
กำลังโหลดความคิดเห็น