“พีทีจี เอ็นเนอยี” เร่งเครื่องขยายธุรกิจ Non-oil ต่อเนื่อง เพิ่มความสามารถในการทำกำไร ตั้งเป้าสัดส่วนกำไรสุทธิจาก Non-oil แตะ 60% ภายในปี 2565 ด้านธุรกิจน้ำมันเตรียมขยายปั๊มให้บริการ กทม.และปริมณฑล ครอบคลุม 70% เดินหน้ารุกกลุ่มธุรกิจนอน-ออยล์ (Non-Oil) เป็น 15% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ปูพรมขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทยออกสู่นอกสถานีบริการน้ำมันพีที ตั้งเป้า 200 สาขาทั่วประเทศภายในสิ้นปี 60 นี้ ล่าสุดจับมือ มรภ.สวนสุนันทา เปิดสาขาในมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก โดยสาขานี้นับเป็นสาขาที่ 100 ของพันธุ์ไทย อีกทั้งยังร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาบุคลากรร่วมกันผ่านการออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนเฉพาะสำหรับพันธุ์ไทย ให้นักศึกษาได้มีโอกาสฝึกงานสร้างรายได้พิเศษระหว่างเรียน ตลอดจนส่งเสริมให้พนักงานเรียนจนจบปริญญาตรี
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงเดินหน้าในการขยายธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน หรือ Non-oil อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจน้ำมันเพียงอย่างเดียว โดยบริษัทฯไม่เพียงแต่มุ่งเน้นในการขยายธุรกิจ Non-oil ในสถานีบริการน้ำมันเพียงเท่านั้น แต่ยังขยายธุรกิจ Non-oil ไปยังนอกสถานีบริการอีกด้วย เช่น ร้านกาแฟ Coffee World และร้านอาหารในเครือ GFA รวมถึงล่าสุดบริษัทได้ลงนามซื้อขายหุ้น และสัญญาร่วมทุนกับบริษัท ออโต้แบคส์ เซเว่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนใน Tokyo Stock Exchange ประเทศญี่ปุ่น และบริษัท สยาม ออโต้แบคส์ จำกัด โดยซื้อหุ้นของบริษัทสยาม ออโต้แบคส์ จำกัด สัดส่วน 38.26% มูลค่า 65 ล้านบาท ซึ่งหลังจากการเข้าซื้อหุ้นแล้ว จะทำให้ศูนย์บริการรถยนต์ AUTOBACS เป็นผู้ได้สิทธิเพียงผู้เดียวในการขยายศูนย์บริการในประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯมุ่งหวังที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรในภาพรวมของบริษัทฯให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันบริษัทฯก็มีความมุ่งหวังที่จะเพิ่มสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจ Non-oil ให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทฯตั้งเป้ามีสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจ Non-oil อยู่ที่ 60% ภายในปี 2565
ด้านธุรกิจน้ำมันบริษัทฯยังคงเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนสถานีบริการในปีนี้ให้ได้อยู่ที่ 1,800 สถานี ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากในปัจจุบันที่มีสถานีบริการ 1,506 สาขาทั่วประเทศ ส่วนในปี 2561 บริษัทฯมุ่งเน้นในการขยายสถานีบริการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลเพื่อให้บริการครอบคลุมกว่า 70% ของพื้นที่ รวมถึงการสร้างฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นผ่านโปรแกรมบัตรสมาชิก PT Max Card ที่วางเป้าหมายไว้ ที่ 7.6ล้านสมาชิก ณ สิ้นปี 2560 ในขณะที่โครงการปาล์มคอมเพล็กซ์จะสามารถเริ่มเดินเครื่องได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560
"เรามีแผนระยะยาวในการเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรด้วยการขยายธุรกิจ Non-oil ทั้งในและนอกสถานีบริการ เพื่อที่จะสามารถมอบสินค้า และบริการให้กับลูกค้าได้ครบถ้วน และตรงกับความต้องการมากที่สุด ซึ่งในอนาคตธุรกิจ Non-oil จะมีบทบาทสำคัญต่อการทำกำไร ในขณะที่ธุรกิจน้ำมันในปีนี้เราประเมินว่าสถานการณ์ของค่าการตลาดได้ผ่านจุดต่ำสุดไปเรียบร้อยแล้ว และจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเรายังคงเป้าหมายในการเติบโตตามที่ได้วางไว้" นายพิทักษ์กล่าว
ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทฯ ประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 264 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 45.3% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 182 ล้านบาท และมีรายได้รวม 21,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 561 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้อยู่ที่ 20,896 ล้านบาท
นายพิทักษ์ กล่าวว่า "ปัจจุบันพีทีจีมีธุรกิจนอน-ออยล์ (Non-Oil) (ธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมัน) หลายประเภท ทั้งร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์แม็กซ์ มาร์ท (Max Mart) โครงการอุตสาหกรรมปาล์ม คอมเพล็กซ์ (Palm Complex) ผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องพีที แม็กซ์นิตรอน (PT Maxnitron) รวมถึงร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่ได้รับคำชื่นชมและการยอมรับจากผู้บริโภคในเรื่องรสชาติ และความใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้จริง ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงพัฒนาด้านการบริการ ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่พีทีจีจะได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาเพื่อทำงานร่วมกันในเรื่องของการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการบริการและการจัดการของบุคลากรต่อไปให้เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ก็เพื่อตอบสนองเป้าหมายการเติบโตของร้านกาแฟพันธุ์ไทยในอนาคตที่ต้องการขยายไปให้ถึง 400 สาขาภายในปี 2561 ผมต้องขอบคุณทางมหาวิทยาลัยฯ ที่ได้เล็งเห็นถึงโอกาสและความเป็นไปได้ในครั้งนี้ครับ"
รศ.ดร.ฤาเดช เกิดวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กล่าวว่า “นับเป็นโอกาสที่ดีที่จะต่อยอดให้เกิดการพัฒนาบุคลากรทั้งของพีทีจีและนักศึกษาของทางมหาวิทยาลัยฯ เพราะในปัจจุบันตลาดต้องการแรงงานที่มีคุณภาพจำนวนมาก การร่วมมือในครั้งนี้จะได้ผลทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เนื่องด้วยมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาจำนวนมากที่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้เรื่องการบริการและการบริหารจัดการอยู่แล้ว สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของแบรนด์ในเรื่องแรงงานที่มีคุณภาพจำนวนมากได้ดี ที่สามารถส่งไปฝึกหรือทำงานกับร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศได้
“เรามีกิจกรรมในแผนงานอยู่ 3 ส่วนแบ่งเป็น 1) คอร์สอบรมพนักงานระยะสั้น 2) การพัฒนาหลักสูตรในระดับปริญญาตรี ซึ่งหลักสูตรปริญญาตรีนั้นอยู่ในระหว่างศึกษาความเป็นไปได้เพื่อวางแผนหลักสูตรที่จะขยายโอกาสให้พนักงานได้เรียนและทำงานไปด้วยอย่างมีประสิทธิภาพ และมีโอกาสเติบโตในเส้นทางอาชีพของตนเองได้ดียิ่งขึ้น 3) โอกาสที่นักศึกษาได้ฝึกงานในร้านกาแฟพันธุ์ไทย ซึ่งก็คือการที่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยฯ จะได้เลือกฝึกงานในร้านกาแฟพันธุ์ไทยสาขาใกล้บ้าน เพื่อสร้างรายได้พิเศษระหว่างเรียนด้วยไม่เพียงเท่านั้น
ทางมหาวิทยาลัยฯ สามารถที่จะออกแบบหลักสูตรซึ่งจะสร้างมาตรฐานด้านการบริการอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะให้กับร้านกาแฟพันธุ์ไทยได้ หลักสูตรนี้มุ่งหวังที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะการบริการอย่างรอบด้านแก่พนักงาน เช่น การบริหารจัดการ ทัศนคติการบริการ และพฤติกรรมการบริการที่ดี รวมถึงการพัฒนาการปฏิบัติงานของบุคลากรในระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงระดับผู้จัดการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันกาแฟพันธุ์ไทยก็มีความพร้อมที่จะเปิดรับนักศึกษาของเราให้เข้าปฏิบัติงานจริง สามารถมีรายได้ระหว่างเรียน และยังมีโอกาสได้รับการบรรจุเป็นพนักงานในอนาคตอีกด้วย ถือเป็นความร่วมมือที่จะสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับทั้งสองฝ่ายอย่างยั่งยืน”