xs
xsm
sm
md
lg

รฟม.เลื่อน MOU ตั๋วร่วม รถไฟฟ้าส่อหลุดเป้า “สีม่วง-แอร์พอร์ตลิงก์” ยังไม่มีงบปรับระบบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ตั๋วร่วมรถไฟฟ้า 4 สายลุ้นเปิดใช้หลุดเป้าอีก เหตุ รฟม.เลื่อน MOU กับ BTS-BEM รอเสนอบอร์ด 18 ก.ย.เห็นชอบก่อน ขณะที่ตั้งเป้า “แอร์พอร์ตลิงก์” กับ “สีม่วง” ใช้ได้ มี.ค. 61 ส่อหลุดเป้าอีก เผยจนถึงขณะนี้ยังไม่มีงบปรับปรุงระบบ โดยคาดใช้งบโครงการละประมาณ 100 ล้าน
 
 นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (บัตรแมงมุม) ว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 29 ส.ค.ได้รับทราบแนวทางการดำเนินงานแล้ว ในระยะแรกการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบตั๋วร่วม และมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดกฎเกณฑ์ทางธุรกิจ (Business Rile) สำหรับการใช้ตั๋วร่วมกับผู้ให้บริการต่างๆ รวมถึงต้องมีการลงนามในข้อตกลง (MOU) กับผู้ให้บริการ ซึ่งเริ่มต้นจะลงนาม MOU กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ BTS และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เพื่อสร้างความมั่นใจกับเอกชนในการลงทุนติดตั้งระบบตั๋วร่วมในรถไฟฟ้าบีทีเอสและสีน้ำเงิน แต่ทราบว่า รฟม.จะมีการเสนอขอความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม. กลางเดือน ก.ย.นี้ก่อนจึงจะลงนามได้ ซึ่งเลื่อนจากแผนเดิมที่จะมีการลงนามภายในเดือน ส.ค.

นายเผด็จ ประดิษฐเพชร ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม สนข.กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ สนข.ได้เจรจากับผู้ให้บริการรถไฟฟ้า 4 สายแล้วในการปรับปรุงระบบรองรับตั๋วร่วม ซึ่งแอร์พอร์ตลิงก์และสายสีม่วงซึ่งเป็นของ รฟม.จะใช้เวลาในการปรับปรุงระบบ 6-7 เดือน แล้วเสร็จประมาณ มี.ค. 2561 ส่วนสายสีเขียวของบีทีเอสและสีน้ำเงินของ BEM จะใช้เวลาปรับปรุงระบบ 10 เดือน ซึ่งหลัง รฟม. MOU กับ 2 รายนี้จะมีการตกลงปรับปรุงระบบ ออกแบบ ติดตั้ง และทดสอบต่อไป

จากการประเมินร่วมกัน ผู้ประกอบการแต่ละรายจะเป็นผู้ลงทุนปรับปรุงติดตั้งระบบตั๋วร่วมเอง ซึ่งแอร์พอร์ตลิงก์ และสายสีม่วง ประมาณรายละ 100 ล้านบาท ส่วน BTS และ MRT คาดว่าจะมีค่าปรับปรุงระบบรายละกว่า 120 ล้านบาท โดยรวมจะมีค่าปรับปรุงระบบสำหรับรถไฟฟ้า 4 สาย กว่า 400 ล้านบาท ค่าจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (CCH) 300 ล้านบาท (สนข.ได้ดำเนินการแล้ว) ค่าบำรุงรักษาในการให้บริการ 160 ล้านบาทต่อปี และอื่นๆ 100 ล้านบาท รวมประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นทุนเริ่มต้นสำหรับการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อเป็นผู้บริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบตั๋วร่วมนั้น รฟม.จะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ รวมถึงพิจารณาว่าจะต้องเป็นการร่วมลงทุน PPP หรือไม่

ส่วนระบบขนส่งใหม่ๆ เรือ ทางด่วน มอเตอร์เวย์ จะเริ่มให้บริการในเฟส 2 ปลายปี 2561 สำหรับบริการนอกภาคขนส่ง เช่น ร้านค้าต่างๆ นั้น สนข.ได้เจรจากับ ซีพี เดอะมอลล์ เซ็นทรัล แล้วในการเข้ามาร่วม คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ปลายปี 2560

โดยตั๋วร่วมในระยะแรกจะเป็นแบบ Common Ticket คือตั๋วใบเดียวขึ้นได้ทุกระบบ แต่ค่าโดยสารยังจ่ายเท่าเดิม สำหรับการลดค่าแรกเข้าเมื่อมีการเชื่อมต่อจากระบบหนึ่งไปอีกระบบหนึ่ง หรือ Common Fair นั้น คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง และจะต้องมีการเจรจาเงื่อนไขกับผู้ให้บริการที่มีสัญญาสัมปทานเดิมทั้ง BTS และ BEM อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะสามารถลดค่าแรกเข้าในระบบที่ 2 ได้ 20-30% หรือลดจาก 15 บาทเหลือ 10 บาท ซึ่งรัฐอาจจะต้องมีการชดเชยให้เอกชนในส่วนลดค่าแรกเข้าดังกล่าว

แหล่งข่าวจาก รฟม.กล่าวว่า ขณะนี้ รฟม.อยู่ในภาวะไม่มีผู้ว่าฯ ตัวจริง ดังนั้นการดำเนินงานจึงต้องเสนอบอร์ด รฟม.ไว้ก่อนเพื่อความรอบคอบ ซึ่งบอร์ดจะประชุมวันที่ 18 ก.ย. ทำให้ต้องเลื่อนการทำ MOU กับ BTS และ BEM ออกไปก่อน ขณะที่ในระยะแรก รฟม.จะตั้งหน่วยธุรกิจขึ้นมาดำเนินการบริหารจัดการระบบ ส่วนบริษัทลูก (CTC) นั้นจะไม่เป็นการร่วมทุน PPP แต่จะจัดตั้งเป็น บริษัท จำกัด ภายใต้ พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าฯ คาดว่าจะใช้เวลา 10-12 เดือน ในการเจรจากับผู้ให้บริการเพื่อเข้ามาร่วมถือหุ้นตามสัดส่วนที่ได้มีการลงทุนปรับปรุงระบบ

อย่างไรก็ตาม ในการปรับปรุงระบบสายสีม่วงและแอร์พอร์ตลิงก์เพื่อรองรับตั๋วร่วมนั้น ขณะนี้ทั้ง รฟม. และแอร์พอร์ตลิงก์ยังไม่ได้รับงบประมาณดำเนินการเลย ซึ่งหากล่าช้าจะกระทบต่อการให้บริการอาจจะไม่ทันกำหนดในเดือน มี.ค. 2561
กำลังโหลดความคิดเห็น