ผู้จัดการรายวัน 360 - “ดีเคเอสเอช” ผุดโมเดลธุรกิจ “การตลาดภาคสนาม” พร้อมเทคโนโลยี SMART ช่วยลูกค้าบริหารระบบสต๊อกสินค้า ผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมาย
นายเลียวนาด ตัน รองประธานกรรมการบริหาร หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการให้บริการขยายตลาดค้าปลีกสินค้าอุปโภค-บริโภค เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ กระจายสินค้าจำนวน 543 แบรนด์ไปยังร้านค้าปลีกทุกระดับตั้งแต่ร้านโชวห่วยจนถึงไฮเปอร์มาร์เกตมากกว่า 1 แสนร้านค้าทั่วประเทศ โดยในปี 2559 มีรายได้รวม 1.22 แสนล้านบาท
ในช่วงนี้บริษัทฯ มีการพัฒนาโมเดลธุรกิจในเรื่องการตลาดภาคสนาม (Field Marketing) เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายให้แบรนด์และบริษัทลูกค้าผ่าน บริษัท ดีเคเอสเอช สมอลลาน ฟิลด์ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (DSFM) โดยใช้เทคโนโลยี SMART ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงตรวจสอบระบบสต๊อกสินค้า โดยมีพนักงานการตลาดภาคสนาม 1.8 พันคนคอยติดตามร้านค้าปลีกมากกว่า 8 พันแห่งทั่วประเทศ
“จากข้อมูลของนักวิจัยพบว่าการตัดสินใจของผู้จับจ่ายสินค้าทั่วโลกถึง 70% เกิดขึ้นในร้านค้า โดยมีผู้จับจ่ายสินค้า 20% ที่ทำการซื้อสินค้าแบบฉับพลัน หรือไม่ได้ตั้งใจจะซื้อล่วงหน้า ฉะนั้นการปรับปรุงแก้ไขด้านการจัดวางสินค้าให้ลูกค้าได้เห็นชัดจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยบริษัทฯ พร้อมช่วยลูกค้าในการบริหารสินค้าและระบบการสต๊อกสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
นายเลียวนาดกล่าวด้วยว่า การบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้แล้วหมดไป หรือ FMCG ของประเทศไทยในปี 2559 มีการเพิ่มสูงขึ้นเพียง 1.7% นับว่าต่ำสุดในรอบหลายๆ ปีนับตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งเคยเติบโตสูง 11% แต่การค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทยกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีส่วนแบ่งจากตลาดขายของชำ 50.5% ในปี 2563 เทียบกับ 45% เมื่อปี 2558 โดยมีการเติบโตขึ้น 5.3% ต่อปี สูงกว่ามาเลเซียที่เติบโต 2.9% และสิงคโปร์ที่เติบโต 2.8% โดยมีปัจจัยหลักคือจำนวนร้านสะดวกซื้อที่เพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลมาจากจำนวนครัวเรือนขนาดเล็กและประชากรผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นและมีความต้องการเลือกซื้อของใกล้บ้าน ประกอบกับระดับราคาสินค้าในร้านสะดวกซื้อที่ไม่ค่อยแตกต่างจากร้านค้าขนาดใหญ่ หรือไฮเปอร์มาร์เกต
ด้าน นายสาริศ เกษมเศรษฐ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ดีเคเอสเอช สมอลลาน ฟิลด์ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (DSFM) กล่าวว่า การที่ดีเคเอสเอชเป็นหุ้นส่วนกับดีเอสเอฟเอ็มทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นหลักแบบมืออาชีพ ทำให้เพิ่มโอกาสทางการขายได้มากขึ้น โดยการใช้เทคโนโลยี SMART ยังเป็นการสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ผลักดันให้มีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในตลาดค้าปลีก โดยการตลาดภาคสนามยังมีส่วนช่วยให้ผู้จับจ่ายสินค้าสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์หลายพันชนิดจากลูกค้าของดีเคเอสเอชในโค้งสุดท้ายของห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นจนจบ
สำหรับหน้าที่สำคัญของนักการตลาดภาคสนามจะเริ่มตั้งแต่ตรวจสอบและบันทึกสินค้าทั้งหมด พร้อมตรวจสอบว่ามีสินค้าใดบ้างที่อยู่ในช่วงโปรโมชันรวมถึงปรับปรุงให้มีการจัดโปรโมชันอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงนำสินค้าจากคลังสินค้าไปเติมในพื้นที่การขายสินค้าให้เต็มชั้นวางสินค้าอย่างสม่ำเสมอ จากการวิจัยพบว่าแผนส่งเสริมการขายของทุกแบรนด์ในร้านค้า เช่น การจัดวางสินค้า มีเพียง 70% ที่มีการดำเนินการอย่างเหมาะสม เทคโนโลยี SMART จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักการตลาดภาคสนามสามารถรับทราบแผนส่งเสริมการขายทั้งหมดที่มีผลอยู่และดูแลให้ดำเนินต่อไป ตลอดจนสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่การส่งเสริมการขายไม่ประสบความสำเร็จ
นายเลียวนาด ตัน รองประธานกรรมการบริหาร หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านการให้บริการขยายตลาดค้าปลีกสินค้าอุปโภค-บริโภค เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ กระจายสินค้าจำนวน 543 แบรนด์ไปยังร้านค้าปลีกทุกระดับตั้งแต่ร้านโชวห่วยจนถึงไฮเปอร์มาร์เกตมากกว่า 1 แสนร้านค้าทั่วประเทศ โดยในปี 2559 มีรายได้รวม 1.22 แสนล้านบาท
ในช่วงนี้บริษัทฯ มีการพัฒนาโมเดลธุรกิจในเรื่องการตลาดภาคสนาม (Field Marketing) เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายให้แบรนด์และบริษัทลูกค้าผ่าน บริษัท ดีเคเอสเอช สมอลลาน ฟิลด์ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (DSFM) โดยใช้เทคโนโลยี SMART ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้า รวมถึงตรวจสอบระบบสต๊อกสินค้า โดยมีพนักงานการตลาดภาคสนาม 1.8 พันคนคอยติดตามร้านค้าปลีกมากกว่า 8 พันแห่งทั่วประเทศ
“จากข้อมูลของนักวิจัยพบว่าการตัดสินใจของผู้จับจ่ายสินค้าทั่วโลกถึง 70% เกิดขึ้นในร้านค้า โดยมีผู้จับจ่ายสินค้า 20% ที่ทำการซื้อสินค้าแบบฉับพลัน หรือไม่ได้ตั้งใจจะซื้อล่วงหน้า ฉะนั้นการปรับปรุงแก้ไขด้านการจัดวางสินค้าให้ลูกค้าได้เห็นชัดจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยบริษัทฯ พร้อมช่วยลูกค้าในการบริหารสินค้าและระบบการสต๊อกสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
นายเลียวนาดกล่าวด้วยว่า การบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้แล้วหมดไป หรือ FMCG ของประเทศไทยในปี 2559 มีการเพิ่มสูงขึ้นเพียง 1.7% นับว่าต่ำสุดในรอบหลายๆ ปีนับตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งเคยเติบโตสูง 11% แต่การค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทยกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีส่วนแบ่งจากตลาดขายของชำ 50.5% ในปี 2563 เทียบกับ 45% เมื่อปี 2558 โดยมีการเติบโตขึ้น 5.3% ต่อปี สูงกว่ามาเลเซียที่เติบโต 2.9% และสิงคโปร์ที่เติบโต 2.8% โดยมีปัจจัยหลักคือจำนวนร้านสะดวกซื้อที่เพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลมาจากจำนวนครัวเรือนขนาดเล็กและประชากรผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นและมีความต้องการเลือกซื้อของใกล้บ้าน ประกอบกับระดับราคาสินค้าในร้านสะดวกซื้อที่ไม่ค่อยแตกต่างจากร้านค้าขนาดใหญ่ หรือไฮเปอร์มาร์เกต
ด้าน นายสาริศ เกษมเศรษฐ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ดีเคเอสเอช สมอลลาน ฟิลด์ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (DSFM) กล่าวว่า การที่ดีเคเอสเอชเป็นหุ้นส่วนกับดีเอสเอฟเอ็มทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นหลักแบบมืออาชีพ ทำให้เพิ่มโอกาสทางการขายได้มากขึ้น โดยการใช้เทคโนโลยี SMART ยังเป็นการสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ผลักดันให้มีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในตลาดค้าปลีก โดยการตลาดภาคสนามยังมีส่วนช่วยให้ผู้จับจ่ายสินค้าสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์หลายพันชนิดจากลูกค้าของดีเคเอสเอชในโค้งสุดท้ายของห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นจนจบ
สำหรับหน้าที่สำคัญของนักการตลาดภาคสนามจะเริ่มตั้งแต่ตรวจสอบและบันทึกสินค้าทั้งหมด พร้อมตรวจสอบว่ามีสินค้าใดบ้างที่อยู่ในช่วงโปรโมชันรวมถึงปรับปรุงให้มีการจัดโปรโมชันอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงนำสินค้าจากคลังสินค้าไปเติมในพื้นที่การขายสินค้าให้เต็มชั้นวางสินค้าอย่างสม่ำเสมอ จากการวิจัยพบว่าแผนส่งเสริมการขายของทุกแบรนด์ในร้านค้า เช่น การจัดวางสินค้า มีเพียง 70% ที่มีการดำเนินการอย่างเหมาะสม เทคโนโลยี SMART จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักการตลาดภาคสนามสามารถรับทราบแผนส่งเสริมการขายทั้งหมดที่มีผลอยู่และดูแลให้ดำเนินต่อไป ตลอดจนสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่การส่งเสริมการขายไม่ประสบความสำเร็จ