“นมมะลิ” รุกโฮเรกา-ขยาย ตปท. ผนึก “สโนว์ญี่ปุ่น” ลุยนมผง-ชีส

ผู้จัดการรายวัน 360 - “มะลิ” เผยตลาดนมข้นจืดไม่ค่อยโต เร่งสร้างองค์กรให้โตทุกรูปแบบ ร่วมมือ “สโนว์” บิ๊กด้านตลาดนมของญี่ปุ่นลุยตลาดในไทย หวังขยายสู่ตลาดนมผงเด็กและชีส พร้อมขยายฐานสู่ตลาดกลุ่มโฮเรกามากขึ้น พัฒนาสินค้าให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เปิดตัวนมข้นหวานแบบหลอดบีบ

นายพินิจ พัวพันธ์ กรรมการ บริษัท อุตสาหกรรมนมไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายนมตรามะลิ กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจของนมมะลิให้มากขึ้นทั้งในแง่ของตลาด กลุ่มเป้าหมาย และผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างการเติบโต เนื่องจากตลาดผลิตภัณฑ์นมข้มหวานและจืดในไทยมูลค่ามากกว่า 8,000-10,000 ล้านบาท เติบโตไม่มากแค่ 2-3% เท่านั้น ขณะที่รายได้ของบริษัทฯ ปีที่แล้ว (2559) 3,500 ล้านบาท ก็ไม่ได้เติบโตเท่าใด แม้จะยังมีกำไรกว่า 200 ล้านบาทก็ตาม และในช่วง 2 ปีนี้ตลาดรวมนมข้นหวานก็มีความผันผวนพอสมควร ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีด้วย แม้ว่ามะลิจะยังคงเป็นผู้นำตลาดนมข้นหวานด้วยส่วนแบ่งมากถึง 90% ก็ตาม

ล่าสุดบริษัทฯ ร่วมมือกับสโนว์ซึ่งเป็นผู้ผลิตนมรายใหญ่ของญี่ปุ่น ในเบื้องต้นเป็นการนำสินค้าของสโนว์เข้ามาและกระจายสินค้าในไทยซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองกัน อย่างไรก็ตาม อนาคตยังมีแผนที่จะร่วมมือกันในการทำตลาดและผลิตนมผงเด็กอีกด้วย รวมทั้งผลิตภัณฑ์แดรี และชีสต่างๆ ในไทย ซึ่งตลาดชีสในไทยมีมูลค่ามากและเติบโตมากกว่า 10% ในขณะที่ตลาดนมผงเด็กก็มีการเติบโตที่ดี และยังสามารถใช้เป็นฐานในการขยายสู่ตลาดนมสำหรับผู้สูงอายุอีกด้วย

นอกจากนั้นจะขยายตลาดในกลุ่มโฮเรกา คือ โรงแรม ร้านอาหาร และแคเทอริ่งมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นตลาดที่ทำยากก็ตาม แต่ก็เป็นตลาดที่ใหญ่มากเติบโตเร็วและน่าสนใจมาก รวมไปถึงตลาดที่เป็นร้านกาแฟ เครื่องดื่ม เบเกอรีด้วย ที่มีการเติบโตค่อนข้างมากด้วยมูลค่าตลาดกว่า 40,000-60,000 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าจะขยับขึ้นเป็นกว่า 1 แสนล้านบาทได้ภายในช่วง 5 ปีจากนี้ เพราะคนไทยยังบริโภคกาแฟน้อยมากแค่ 200 แก้วต่อคนต่อปี น้อยกว่าคนญี่ปุ่นเกือบ 3 เท่า จึงทำให้โอกาสในการขายผลิตภัณฑ์นมมีสูงตามไปด้วย

ขณะดียวกันยังได้ใช้กลยุทธ์ด้านสินค้า ด้วยการเปิดตลาดสินค้าใหม่ๆ เป็นการพัฒนาและตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ด้วย ล่าสุดคือใช้งบกว่า 140 ล้านบาท เปิดตัวสินค้านมข้นหวานแบบหลอดบีบรายแรกและรายเดียวในไทย “มะลิ อีซี่ส์ สควีซ” เพื่อความสะดวกและเข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยได้ “เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งเราต้องปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งจากนี้ไปจะมีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกมาต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตที่มีสูงถึง 300,000 ตันต่อปีในขณะนี้

ส่วนตลาดส่งออกมีการขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่ม ล่าสุดส่งไปจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกาใต้แล้ว ก่อนหน้านี้ตลาดหลักอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน เอเชีย และฮ่องกง เป็นต้น รวม 30 กว่าประเทศ โดยมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศประมาณ 20% ซึ่งหลังจากร่วมมือกับทางสโนว์ของญี่ปุ่นแล้วก็จะทำให้ตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ใหญ่อีกด้วย

นายพินิจกล่าวด้วยว่า การเติบโตอีกวิธีหนึ่งคือการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์คู่ค้าต่างๆ ในการทำตลาดร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกันในการพัฒนาเมนู หรือสูตรต่างๆ ตามร้านอาหาร-เครื่องดื่ม หรือการร่วมมือกันในการจัดจำหน่าย เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ช่วยขยายฐานตลาดได้มากขึ้น เพราะจากนี้ไปเราต้องเติบโตแบบแนวราบคือการขยายในแนวกว้างด้วยสิ่งใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งการรุกตลาดจากนี้ไปมั่นใจว่าจะช่วยทำให้บริษัทฯ มียอดขายรวมในปี 2560 เติบโตประมาณ 10% และขยายฐานสู่คนรุ่นใหม่ได้มากขึ้นด้วย