ผู้จัดการรายวัน 360 - สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเผย ดัชนีอุตสาหกรรมค้าปลีกไตรมาสแรกปี 60 โต 3.02% แต่ย้ำต้องเฝ้าระวังต่อเพราะการจับจ่ายยังไม่แจ่มใส ดัชนีค้าปลีกครึ่งปีแรกอาจต่ำกว่า 3%
น.ส.จริยา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ตามที่สมาคมฯ ได้คาดการณ์สถานการณ์ค้าปลีกครึ่งแรกปี 2560 น่าจะเติบโต 3.0-3.2% จากการเติบโตของภาคบริการ 3 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง, ภาคการเงินการธนาคาร และภาคค้าปลีกนั้น ในช่วงไตรมาสแรกพบว่ากำไรของสถาบันการเงินการธนาคารยังดีอยู่ แม้หนี้เสียจะเพิ่มขึ้นแต่รายได้และกำไรยังคงที่ ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างยังเติบโตต่ำเมื่อพิจารณาจากผลประกอบการบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 4-5 บริษัท ที่ทั้งยอดขายและกำไรต่างก็ลดลง ส่วนภาคค้าปลีกมีการเติบโตเช่นกัน
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปี 2560 เริ่มดีขึ้น แต่ไม่มากพอที่จะทำให้หมวดสินค้าต่างๆ เติบโต โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้วิเคราะห์ว่า หมวดสินค้าคงทนเติบโตต่ำ 1.25% จากผลประกอบการของอุตสาหกรรมการก่อสร้างและที่อยู่อาศัยในไตรมาส 1/2560 ติดลบ ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเติบโตน้อยจากการเข้มงวดของการให้สินเชื่อเพื่อการบริโภคของสถาบันการเงิน ขณะที่หมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เติบโต 3%
สำหรับหมวดสินค้ากึ่งคงทนเติบโตถดถอย 2.3% แม้จำนวนนักท่องเที่ยวในไตรมาส 1/2560 จะเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2559 แต่ก็ไม่ส่งผลให้การจับจ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนฟื้นตัวขึ้นเพราะภาษีสินค้านำเข้าแบรนด์หรูอยู่ในเกณฑ์สูง ประกอบกับประชาชนชาวไทยยังอยู่ในช่วงแสดงความอาลัยถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ขณะที่หมวดสินค้าไม่คงทนเติบโต 3.4% เพราะราคาพืชผลเกษตรดีขึ้น เม็ดเงินงบประมาณเริ่มไหลลงสู่ประชาชนฐานราก โดยสินค้าหมวดดังกล่าวมีสัดส่วน 68% ของดัชนีค้าปลีก
สำหรับปัจจัยบวกไตรมาสแรกปี 2560 คือดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่ม 0.6% การส่งออกขยายตัว 4.9% จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่ม 5% ราคาพืชผลการเกษตรเพิ่ม ดัชนีการบริโภคของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น ตลาดรถยนต์ขยายตัว 15.4% และตลาดรถจักรยานยนตร์ขยายตัว 5%
ส่วนปัจจัยลบทางเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 2560 คือการเข้าสู่รอบไตรมาสที่สามของปีงบประมาณการใช้จ่ายอาจแผ่วลง โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐยังไม่เกิดการปฏิบัติให้เห็นผล การลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวและพึ่งพาแต่การลงทุนภาครัฐ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เติบโตลดลง ภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังส่งสัญญาณที่จะทรงตัวในระดับ 80.2% มีผลต่ออำนาจการซื้อของครัวเรือนต่ำ
“มาม่า” วอนรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการธุรกิจสินค้าอุปโภค-บริโภคส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ส่งผลให้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมามีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่มากนัก ประกอบกับภาวะการแข่งขันในตลาดยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรงและไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ง่ายนัก โดยส่วนตัวจึงเห็นว่ารัฐบาลควรมีความชัดเจนในการประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะเวลาต่างๆ เพื่อไม่ให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคต้องรออย่างไม่มีกำหนด
ในส่วนของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ถือว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะมีอัตราการเติบโตถึง 4% ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดรวมมีการเติบโตเพียง 3% จึงคาดว่าในปี 2560 จะสามารถทำยอดขายเติบโตได้ตามเป้าหมาย 10% เนื่องจากมีการจัดแคมเปญ “รหัสลับลุ้นล้าน” แจกทองคำและไอโฟน 7 ทุกเดือนตั้งแต่เดือน ก.พ. 60 จากปกติที่มักจัดแคมเปญในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมกับขยายช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ชนิดซองจากปกติที่มีเพียงชนิดถ้วยเท่านั้น
น้ำมันพืช “มรกต” เพิ่มงบออนไลน์ 30-40%
น.ส.นุชนาถ สุขมงคล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท มรกต อินดัสตรี้ส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2560 กำลังซื้อผู้บริโภคยังคงอยู่ในภาวะซบเซา แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมันพืชมากนัก เพราะถือเป็นสินค้าบริโภคที่จำเป็นสำหรับครัวเรือนและมีการเติบโตตามจีดีพีของประเทศ โดยปัจจุบันตลาดน้ำมันพืชมีมูลค่า 4-5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นน้ำมันปาล์ม 70% และน้ำมันถั่วเหลือง 30% โดยในส่วนของ “มรกต” ถือเป็นผู้นำตลาด
ในปี 2560 บริษัทฯ ปรับกลยุทธ์และใช้งบประมาณด้านการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์มากถึง 30-40% เป็นครั้งแรก เพื่อเน้นให้ข้อมูลด้านโภชนาการแก่ผู้บริโภคว่า การใช้น้ำมันพืชในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์ต่อร่างกาย รวมทั้งสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องว่าน้ำมันไม่ได้เป็นสาเหตุหลักของความอ้วน นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มพรีเมียม คือ “มรกต Lite” น้ำมันปาล์มลดไขมัน 50% เพื่อกระตุ้นตลาดให้มีการเติบโตต่อเนื่อง
“แลคตาซอย” เร่งแผนกระจายสินค้า
น.ส.พรรวนา มหาทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาและการตลาดสัมพันธ์ บริษัท แลคตาซอย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมกำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงทรงตัวตั้งแต่ปี 2559 ต่อเนื่องถึงในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 ส่งผลให้ปี 2559 บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเพียง 2% แต่คาดว่าในปี 2560 จะกลับมาเติบโตได้ถึง 10-12% เนื่องจากมีการกำหนดแผนธุรกิจและการลงทุนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2559 เช่น การเพิ่มเครื่องจักรและกำลังการผลิตจาก 2.4 พันล้านกล่องเป็น 3 พันล้านกล่องตั้งแต่ช่วงต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา การลงทุนเพิ่มศูนย์กระจายสินค้าที่จังหวัดปทุมธานี และอุดรธานี การขยายการกระจายสินค้าขนาด 500 มล.ให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น ตลอดจนการใช้งบประมาณการตลาด 400 ล้านบาทในปี 2560
ทั้งนี้ ตลาดน้ำนมถั่วเหลืองมีมูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ 6 รสชาติ รวม 18 เอสเคยู โดยในปี 2559 มียอดขาย 1.1 หมื่นล้านบาท