xs
xsm
sm
md
lg

“ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป” โชว์กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 19.3%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ผู้จัดการรายวัน 360 - “ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป” รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 มียอดขาย 31,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% ยก “เรด ล็อบสเตอร์” รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนมีส่วนสำคัญในการเติบโตด้านผลกำไรบริษัทฯ 1,469 ล้านบาท เผย ยอดขายในอเมริกายังมีสัดส่วนสูงสุด 40.3% ย้ำนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกๆ ด้าน

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2560 มียอดขาย 31,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 19.3% เท่ากับ 1,469 ล้านบาท ส่วนกำไรขั้นต้นลดลง 13.3% จากปีก่อน เท่ากับ 4,330 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 13.8% เมื่อเปรียบเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้น 16% ในไตรมาส 1 ปี 2559 โดยกำไรขั้นต้นที่ลดลงเป็นผลมาจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจปลาทูน่าและกุ้ง รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นอีกด้วย

ถึงแม้ว่าความต้องการในธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (Ambient) ในทวีปยุโรปจะซบเซา แต่ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 12,914 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.6% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ยังคงเติบโตที่ 17.4% จากปีที่แล้ว คิดเป็นจำนวน 4,444 ล้านบาท เป็นผลมาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่างๆ และการรุกทำตลาดที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดขายจากผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของ “ไทยยูเนี่ยน” ยังคงอยู่ที่ 42% ในไตรมาสแรก ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจการรับจ้างผลิตและธุรกิจบริการทางด้านอาหาร

นายธีรพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับยอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกายังคงมีสัดส่วนที่มากที่สุดเท่ากับ 40.3% ของยอดขายทั้งหมดในไตรมาสแรกปี 2560 ตามด้วยตลาดยุโรปเป็นอันดับรองลงมา ด้วยสัดส่วนยอดขายเท่ากับ 31% ขณะที่ตลาดในประเทศไทยมีสัดส่วนเท่ากับ 8.1% ตลาดญี่ปุ่น 6.4% และตลาดอื่นๆ 4.2%

“เรามีความพอใจในผลกำไรที่เติบโตนี้อย่างมาก ถึงแม้ว่าเราจะคงต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบ และสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในหลายตลาดอยู่ โดยการลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน เรด ล็อบสเตอร์ ได้ส่งผลเชิงบวกให้แก่บริษัทฯ โดยเรากำลังร่วมมือกันในการริเริ่มการดำเนินงานต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของเรามีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต”

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อเดือนธันวาคม 2559 “ไทยยูเนี่ยน” ได้ประกาศกลยุทธ์ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์แบรนด์ปลาทูน่าของบริษัทฯ ต้องมาจากการจัดหาอย่างยั่งยืนทั้งหมด 100% ในอนาคต โดยตั้งเป้าหมายทำให้ได้อย่างน้อย 75% ภายในปี 2563 และส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ใหม่ด้านปลาทูน่า “ไทยยูเนี่ยน” กำลังลงทุนมูลค่า 90 ล้านเหรียญสหรัฐในโครงการริเริ่มต่างๆ เกี่ยวกับความยั่งยืน รวมถึงโครงการพัฒนาการประมง 11 โครงการทั่วโลก

“ไทยยูเนี่ยน” ยังสนับสนุนเงินจำนวน 5 หมื่นเหรียญสหรัฐฯให้โครงการพัฒนาการประมงในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน “SeaChange” ขณะเดียวกันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รายงานเพื่อความยั่งยืนของ “ไทยยูเนี่ยน” ปี 2558 ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ในเอเชีย ในรายงาน 100 บริษัทธุรกิจอาหารทะเลที่ได้มาตรฐานความโปร่งใส (Top 100 Seafood Firms’ Transparency Benchmark) ซึ่งจัดอันดับโดย Seafood Intelligence หน่วยงานที่ให้บริการข่าวทั่วโลกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารทะเลและประเมินข้อมูลด้านความยั่งยืนและระดับความโปร่งใสของอุตสาหกรรม โดย “ไทยยูเนี่ยน” ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 5 อันดับแรกของบริษัทที่ทำประมงด้วยการจับปลาแบบธรรมชาติทั้งหมดทั่วโลก และอยู่ใน 3 อันดับแรกของบริษัทที่จับปลาทูน่าแบบธรรมชาติทั่วโลกอีกด้วย

“ไทยยูเนี่ยน” ยังได้เป็นพันธมิตรกับ Clinton Climate Initiative ซึ่งดำเนินโครงการก๊าซชีวภาพและการจัดการน้ำเสียที่โรงงานผลิตปลาทูน่ากระป๋องของบริษัท อินเดียนโอเชี่ยนทูน่า (Indian Ocean Tuna) ในประเทศเซเชลส์ (Seychelles) โดยโครงการดังกล่าวจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดต้นทุนด้านพลังงาน ขณะเดียวกันยังจะผลิตพลังงานไฟฟ้าสะอาดและการจัดการคุณภาพน้ำทิ้งที่ดีขึ้น

“เรายังคงมุ่งมั่นอย่างจริงจังในทำงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกๆ วัน โดยได้ทุ่มเทในการทำงาน เพื่อให้มั่นใจว่าค่านิยมขององค์กรที่พวกเรายึดถือนั้นได้รับการถ่ายทอดเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผลได้อย่างแท้จริง” นายธีรพงศ์ กล่าวในตอนท้าย



กำลังโหลดความคิดเห็น