ผู้จัดการรายวัน 360 - “ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด” มั่นใจชำระยอดขาดทุนสะสมหมดภายในเวลาเร็วที่สุด หลังบริหารต้นทุนค่าคอมมิชชัน และค่าใช้จ่ายภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลยอดขาดทุนสะสมลดลงต่อเนื่องเหลือประมาณ 830 ล้านบาท จากปี 2552 ที่มีสูงกว่า 1.4 พันล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ปี 2560 สูงกว่า 400 ล้านบาท พร้อมสมาชิกใหม่ 678 ราย โอ่ผลประกอบการ 6 เดือนแรก สูงเกินคาด ด้วยรายได้ 233 ล้านบาท พร้อมสมาชิกใหม่ 412 ราย
นายพฤทธิ์ บุปผาคำ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) ผู้ดำเนินงานโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ “ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด” (อีลิท คาร์ด) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯ เคยได้รับงบประมาณเพื่อเสริมสภาพคล่องจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในฐานะผู้ถือหุ้น 100% เป็นจำนวนเงิน 200 ล้านบาทนั้น นับตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่งบริหารงานสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณแผ่นดินดังที่ผ่านมา ทั้งยังสามารถบริหารต้นทุนค่าคอมมิชชั่นและค่าใช้จ่ายภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ยอดขาดทุนสะสมลดลงต่อเนื่องเหลือประมาณ 830 ล้านบาท จากที่มีสูงกว่า 1.4 พันล้านบาท เมื่อปี 2552 โดยมีแผนที่จะชำระยอดขาดทุนสะสมให้หมดภายในเวลาเร็วที่สุด
สำหรับปีงบประมาณ 2560 (1 ต.ค. 59 - 30 ก.ย. 60) บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ซึ่งทำได้ประมาณ 380 ล้านบาท ประมาณ 15% โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (1 ต.ค.59 - 31 มี.ค.60) สามารถทำยอดขายได้ถึง 233 ล้านบาท เกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 16.5% และเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 47%
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น 412 ราย จากเป้าที่ตั้งไว้ 354 ราย คิดเป็นสัดส่วนถึง 61% จากเป้าหมายการเพิ่มสมาชิกใหม่ทั้งปีเป็นจำนวน 678 คน ส่งผลให้ ณ วันที่ 2 พ.ค. 60 มีสมาชิกรวมทั้งหมด 4,348 คน โดยนับตั้งแต่บริษัทฯ กลับมาขายบัตรสมาชิกรอบใหม่ตั้งแต่ปี 2556 สามารถเพิ่มสมาชิกได้ 1.84 พันราย โดยกลุ่มประเทศที่มีสัดส่วนสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ อังกฤษ 19% จีน 18% สหรัฐอเมริกา 12% ฝรั่งเศส และ ญี่ปุ่น 10% ออสเตรเลีย และ บังกลาเทศ 7% โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุน ผู้เกษียณอายุ และเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
“บัตรไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ถือว่ามีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย เนื่องจากสมาชิกบัตรเหล่านี้จะเข้ามาใช้บริการจากภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็น สนามกอล์ฟ โรงพยาบาล สปา ร้านอาหาร โรงแรม และอื่นๆ นอกจากนี้ สมาชิกยังมีการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ทั้งซึ่งเป็นการสร้างผลประโยชน์ให้ทางภาคธุรกิจเอกชนของไทยอีกด้วย”
นายพฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ของบัตร “ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด” จากเดิม 3 ประเภทเป็น 7 ประเภท ส่งผลให้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง 30% นอกจากนี้ ยังเป็นความร่วมมือกับ “เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส โฮลดิ้งส์” ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ 28 แห่งทั่วโลก รวมกับการขายผ่านตัวแทนขายของบริษัทฯ 21 ราย รวมเป็น 49 ราย โดยภายในปี 2560 บริษัทฯ มีแผนโรดโชว์ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ประเทศญี่ปุ่น และร่วมกับ “เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์สฯ” ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และ ฮ่องกง
“จากความร่วมมือดังกล่าว เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์สฯ ตั้งเป้ายอดขายบัตรปีแรก 200 ล้านบาท ปีที่ 2 เพิ่มเป็น 300 ล้านบาท ปีที่ 3 เป็น 400 ล้านบาท ทำให้คาดว่าในระยะเวลาไม่นาน บริษัทฯ จะสามารถสร้างรายได้ถึงปีละ 1 พันล้านบาท ส่วนในปี 2560 คาดว่า จะทำได้ 560 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ในส่วนของตัวแทนจำหน่ายบริษัทฯ 400 ล้านบาท และ เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์สฯ 160 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ผ่านช่องทางออนไลน์และตัวแทนจำหน่ายเท่ากัน คือ 50 : 50”
นายพฤทธิ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ในปี 2560 บริษัทฯ ใช้งบลงทุนรวม 350 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายภายในองค์กร 250 ล้านบาท การลงทุนด้านไอทีเพื่อการพัฒนาแอปพลิเคชัน และระบบสมัครสมาชิกออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ 40 ล้านบาท และการจัดทำภาพยนตร์โฆษณาองค์กร 10 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการใช้งบประมาณการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เพิ่มขึ้นตามรายได้ คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 20 ล้านบาท
ด้าน นายโดมินิค โวเล็ค ผู้บริหารภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส โฮลดิ้งส์” กล่าวเสริมว่า “เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส โฮลดิ้งส์” มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจกว่า 20 ปี ปัจจุบันมีพนักงานให้บริการมากกว่า 250 คน ใน 28 สำนักงานทั่วโลก ทำให้มีความมั่นใจในการเป็นพันธมิตรช่วยส่งเสริมการขายบัตร “ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด” ให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการเปิดตัวบัตร “ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด” ที่ประเทศสิงคโปร์ และ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ถือว่าผลการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ จึงมีแผนทำตลาดในประเทศที่ “เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส โฮลดิ้งส์” มีความแข็งแกร่งด้านฐานธุรกิจต่อไป เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส แอฟริกาใต้ และ สิงคโปร์ เป็นต้น โดยจะเน้นสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ผ่านการจัดกิจกรรมอีเวนต์ทุกๆ 2 สัปดาห์ รวมถึงผ่านสื่อนิตยสารของ “เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส โฮลดิ้งส์” ซึ่งมีผู้อ่านประจำมากกว่า 2.5 หมื่นฉบับ
อนึ่ง ปัจจุบัน บัตร “ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด” มีทั้งสิ้น 7 ประเภท มีความหลากหลายทั้งด้านราคาและสิทธิประโยชน์ โดยมีราคาตั้งแต่ 5 แสนบาท จนถึง 2 ล้านบาท ครอบคลุมชาวต่างชาติทุกกลุ่มเป้าหมายที่มีฐานะปานกลางจนถึงร่ำรวย รวมถึงกลุ่มที่เข้ามาเป็นครอบครัวที่ต้องการลงทุนในประเทศไทยและอยู่อาศัยจากการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมและการเช่าบ้าน ได้แก่
1. บัตร “อีลิท อูทิเมท พริวิเลจ” (Elite Ultimate Privilege) หรือ แพกเกจราคา 2 ล้านบาท อายุบัตร 20 ปี พร้อมสิทธิประโยชน์เต็มรูปแบบสำหรับผู้อยู่อาศัยในระยะยาว ทั้งบริการรถลิมูซีนระยะสั้นอย่างไม่จำกัด พร้อมใช้กอล์ฟและสปา จำนวน 24 ครั้งต่อปี และบริการตรวจเช็กร่างกาย 1 ครั้งต่อปี
2. บัตร “อีลิท แฟมิลี่ พรีเมี่ยม” (Elite Family Premium) เป็นแพกเกจพ่วงกับ “อีลิท อูทิเมท พริวิเลจ” สำหรับบุคคลในครอบครัว ราคา 1 ล้านบาท โดยอายุบัตรขึ้นอยู่กับบัตรหลัก พร้อมให้บริการรถลิมูซีนระยะสั้นอย่างไม่จำกัด พร้อมใช้บริการกอล์ฟและสปา จำนวน 10 ครั้งต่อปี
3.บัตร “อีลิท อีซี่ แอคเซส” (Elite Easy Access) ราคา 5 แสนบาท อายุบัตร 5 ปี สำหรับการเข้าออกในประเทศไทยระยะสั้น เหมาะสำหรับผู้เดินทางคนเดียว และสามารถอัปเกรดเป็นแพกเกจหลักได้ พร้อมบริการรถลิมูซีนระยะสั้น จำนวน 24 ครั้งต่อปี
4.บัตร “อีลิท แฟมิลี เอ็กซ์เคอร์ชั่น” (Elite Family Excursion) ราคา 8 แสนบาท อายุบัตร 5 ปี เพื่อการเข้าออกในประเทศไทยระยะสั้น เหมาะสำหรับกลุ่มครอบครัวโดยเฉพาะด้วยราคาพิเศษสำหรับ 2 ท่านเป็นต้นไป เน้นกลุ่มนักธุรกิจและครอบครัวที่มีบุตรศึกษาในประเทศไทย รวมถึงผู้ต้องการพักผ่อนระยะสั้นๆ ในลักษณะครอบครัว
5.บัตร “อีลิท แฟมิลี่ อัลเทอร์เนทีฟ” (Elite Family Alternative) ราคา 8 แสนบาท อายุ 10 ปี เป็นบัตรที่เหมาะสำหรับผู้เดินทางคนเดียวและเป็นครอบครัวในการพำนักระยะยาว เหมาะกับผู้อยู่อาศัยระยะยาว ไม่ว่าจะทำงาน หรือพักผ่อน
6. บัตร “อีลิท พริวิเลจ แอคเซส” (Elite Privilege Access) ราคา 1 ล้านบาท อายุบัตร 10 ปี อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการอาศัยในประเทศไทยในระยะยาว ทั้งในลักษณะเดินทางคนเดียว และเป็นครอบครัวที่มีการเดินทางเข้าออกบ่อยครั้ง
7. บัตร “อีลิท ซูพีเรียริตี้ เอ็กซ์เทนชั่น” (Elite Superiority Extension) ราคา 1 ล้านบาท อายุบัตร 20 ปี สำหรับผู้ต้องการอาศัยในประเทศไทยระยะยาว เหมาะสำหรับกลุ่มผู้เกษียณอายุ หรือผู้ที่ต้องการพำนักในประเทศไทยในระยะยาว
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ บัตร “ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด” 4 ประเภท ได้แก่ บัตร “อีลิท แฟมิลี เอ็กซ์เคอร์ชั่น”, บัตร “อีลิท แฟมิลี่ อัลเทอร์เนทีฟ”, บัตร “อีลิท พริวิเลจ แอคเซส” และ บัตร “อีลิท ซูพีเรียริตี้ เอ็กซ์เทนชั่น”