ผู้จัดการรายวัน 360 - “เอฟซี” ปรับโครงสร้างธุรกิจ ตัดทิ้งอสังหาฯ โรงแรม ลุยหนักธุรกิจฟูดแอนด์เบฟเวอเรจเท่านั้น เร่งขายที่ดินเกาะสมุยและหุ้นในเรดดี้แพลนเน็ต ล่าสุดเข้าควบรวมกิจการ 2 กลุ่มร้านอาหารใหญ่ ทั้ง “จีแคปปิตอล และโอชา”
นายธรากร อังภูเบศวร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ด แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ FC/เอฟซี ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารหลายแบรนด์ เปิดเผยว่า จากนี้ไปบริษัทฯ วางนโยบายในการรุกธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม หรือฟูดแอนด์เบฟเวอเรจเท่านั้น โดยอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ที่จะตัดขายทิ้งธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม I;,57’ฮอสพิทัลลิตีทั้งหมด
ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการและเจรจากับผู้สนใจ คือ โครงการที่เกาะสมุย ยังเป็นที่ดินเปล่ารอการพัฒนา จะขายทั้งโครงการ ทั้งใบอนุญาต รูปแบบโครงการ และที่ดิน พื้นที่ประมาณ 50 กว่าไร่ นอกจากนั้นยังมีหุ้น 12% ถืออยู่ในเรดดี้แพลนเน็ตที่ร่วมทุนกับกลุ่มทุนโฮเต็ลที่บริหารโรงแรมใน 4 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย รวมกว่า 4,000 ห้อง คาดว่าหากบรรลุข้อตกลงขายได้ทั้งหมดนี้จะมีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาลงทุนด้านธุรกิจเอฟแอนด์บีต่อไป
ล่าสุดบริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจอาหารครั้งใหญ่ ด้วยการเข้าลงนามในสัญญาการซื้อขายหุ้นและกิจการทั้งหมดของ 2 กลุ่มใหญ่ คือ บริษัท จี เอ็นเตอร์ไพรส์ แอนด์ โค จำกัด มีร้านอาหารหลายแบรนด์ เช่น “ชิงช้าชาลี”, “มูมมามพาร์ค”, “อูมามิ ฟาลาเบลลา” และ “ไพรเรทแชมเบอร์” รวมมูลค่ากว่า 121,809,000 บาท
อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อซื้อกิจการร้านอาหารจาก “กลุ่มโอชา” ของคนไทย ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยชื่อดังในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา โดยปัจจุบันขั้นตอนการซื้อกิจการใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสที่ 2/60 หลังจากที่มีการซื้อกิจการของกลุ่มโอชาเข้ามาในพอร์ตของบริษัทเอฟซีแล้วจะทำให้รับรู้รายได้ของกลุ่มโอชาทันที คาดว่าปี 2560 บริษัทฯ จะมีรายได้รวมและจาก 2 กิจการที่ซื้อมาประมาณทั้งปีกว่า 1 พันล้านบาท หรือเพิ่มไม่น้อยกว่า 50% และกลับมามีกำไร หากทำได้ตามเป้าหมายจะสามารถพิจารณาจ่ายเงินปันผลต่อไป เพราะแค่กลุ่มโอชารายเดียวก็มีรายได้มากกว่า 600 ล้านบาทแล้ว
นายธรากรกล่าวต่อว่า แนวทางของบริษัทฯ จะเน้นการควบรวมกิจการและการซื้อไลเซนส์ ทำให้เติบโตเร็วกว่าการพัฒนาแบรนด์ขึ้นมาเอง ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีหลายแบรนด์ดำเนินการอยู่แล้ว เช่น แม็กกี้ชูส์, ดิ ไอรอน แฟร์เร ซึ่งเป็นตัวทำรายได้หลัก และแฟทกัสท์ นอกนั้นคือไลเซนส์แฟรนไชส์ เช่น คอฟฟี่บีนส์แอนด์ทีลีฟ, โดมิโน พิซซ่า, ไก่ทอดเกาหลีเคียวโชน เป็นต้น รวมแล้วปัจจุบันมีมากกว่า 60 สาขาในไทย
“ปีนี้คาดว่าคงต้องใช้เงินลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท เป็นการควบรวมกิจการประมาณ 300-400 ล้านบาท ส่วนที่เหลือคือการขยายสาขาใหม่เพิ่ม คาดว่าทุกแบรนด์รวมกันปีนี้จะขยายให้ครบประมาณ 90 กว่าสาขาในไทย โดยมีการลงทุนใหญ่ๆ คือ ร้านอาหาร 2 แห่งที่ทองหล่อ คาดว่าจะใช้แบรนด์ที่มีอยู่เดิม อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีความสนใจตลาดซีแอลเอ็มวีด้วย” นายธรากรกล่าวในตอนท้าย
นาย ณ ชนก รัตนทารส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จี เอ็นเตอร์ไพรซ์ แอนด์ โค จำกัด กล่าวว่า การเข้ามารวมธุรกิจกับ บริษัท ฟู้ด แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) จะทำให้เกิดความแข็งแกร่งทางธุรกิจในอนาคตมากขึ้นและก้าวสู่ความเป็นผู้นำทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติแบบครอสคัลเจอร์ เพราะเราโดดเด่นการนำเสนออาหารที่มีความสวยงามแบบศิลปะ การทำธุรกิจจากนี้เปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากด้วยปัจจัยหลักคือ สมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ต การเช็กอิน และสถานที่ที่ตอบโจทย์ลูกค้า ทำให้การทำธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนเสมอ