ผู้จัดการรายวัน360-สงกรานต์สาดตลาดรองเท้านักเรียนกลับมาโตได้ 5% "นันยาง" อัด 70 ล้านบาทมากกว่าปีก่อน เปิดตัว4รุ่นใหม่เอาใจ หวังดันส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 42% ของตลาดรวม 5,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตอย่างน้อย 5% แตะ 2,100 ล้านบาทได้
นายจักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและขาย บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้านันยาง เปิดเผยว่า ปี2560นี้แนวโน้มตลาดรวมรองเท้านักเรียนที่มีมูลค่า 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะกลับมาโตได้ไม่ต่ำกว่า 5% จากปีก่อนที่ตลาดรวมทรงตัว จากปัจจัยบวกด้านการจับจ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ไม่คึกคักมากนัก ส่งผลให้ผู้ปกครองมีเงินที่จะจับจ่ายซื้ออุปกรณ์การเรียนตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ต่อเนื่องไปจนถึงเปิดเทอม บวกกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงขึ้นหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งตลาดโดยรวมในประเทศดีขึ้นทั้งจากการปรับขึ้นค่าแรงในหัวเมืองใหญ่ ราคาสินค้าเกษตร เช่นยางพารา ปาล์มน้ำมัน และอ้อยเพิ่มสูงขึ้น
“พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้ปกครอง ปัจจุบันเริ่มมีหลายรูปแบบ เช่น การซื้อรองเท้านักเรียนก่อนเทศกาลสงกรานต์เพื่อนำกลับไปให้ลูกที่ต่างจังหวัด หรือกลับบ้านที่ต่างจังหวัดในช่วงสงกกรานต์เพื่อไปซื้อรองเท้าให้ลูก รวมทั้งบางกลุ่มเริ่มทยอยซื้อในช่วงหลังสงกรานต์ หรือช่วงก่อนเปิดเทอม จึงทำให้โอกาสในการขายมีมากขึ้น จากราคาเฉลี่ย 199-400 บาท และมีอัตราการใช้เฉลี่ย 1.3 คู่ต่อคนต่อปี”
ดังนั้นแผนการตลาดของนันยางในปีนี้บริษัทฯได้ใช้งบการตลาด 70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 20% เพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย และโปรโมชั่นต่างๆ ณ จุดขาย ผ่านแคมเปญ “นันยาง ทุกก้าวคือตำนาน” และขายผ่านออนไลน์ พร้อมกับได้เตรียมสินค้าไว้เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค จากรองเท้า 4 รุ่น ได้แก่ รุ่น 205-เอส รองเท้าผ้าใบนักเรียนพื้นเขียว ,รุ่นแฮฟฟัน สำหรับนักเรียนประถมอายุ 6-9 ปี ,รุ่นชูการ์ รองเท้าผ้าใบสำหรับผู้หญิง และรุ่น121-เอ็น สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยและสายอาชีพ
นายจักรพล กล่าวต่อว่า ปัจจุบันโรงงานมีกำลังการผลิตรองเท้านันยางประมาณ 30,000 – 50,000 คู่ต่อวัน ซึ่งยังสามารถรองรับความต้องการของตลาดได้อยู่ อีกทั้งยังไม่มีแผนการปรับราคาสินค้า ตามปัจจัยต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยางพาราที่มีราคาเพิ่มจาก กิโลกรัมละ 60 บาท เป็น 80 บาท เนื่องจากต้องการลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองที่จ่ายช่วงเปิดเทอมค่อนข้างมาก
ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น ปัจจุบันส่งออกไปแล้วใน 15 ประเทศ อาทิ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ทั้งในรูปแบบขายผ่านตัวแทนท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ และบริษัทเข้าไปทำตลาดเอง เชื่อว่าปี2563ยอดส่งออกจะทำได้ 20% ของยอดขายทั้งหมด จากปีก่อนอยู่ที่ 12% หรือทั้งปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตได้อย่างน้อย 5% และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 41% เป็น 42% ของตลาดรวม 5,000 ล้านบาท หรือมีรายได้อย่างน้อย 2,100 ล้านบาทได้
นายจักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและขาย บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้านันยาง เปิดเผยว่า ปี2560นี้แนวโน้มตลาดรวมรองเท้านักเรียนที่มีมูลค่า 5,000 ล้านบาท คาดว่าจะกลับมาโตได้ไม่ต่ำกว่า 5% จากปีก่อนที่ตลาดรวมทรงตัว จากปัจจัยบวกด้านการจับจ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ไม่คึกคักมากนัก ส่งผลให้ผู้ปกครองมีเงินที่จะจับจ่ายซื้ออุปกรณ์การเรียนตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ต่อเนื่องไปจนถึงเปิดเทอม บวกกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงขึ้นหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งตลาดโดยรวมในประเทศดีขึ้นทั้งจากการปรับขึ้นค่าแรงในหัวเมืองใหญ่ ราคาสินค้าเกษตร เช่นยางพารา ปาล์มน้ำมัน และอ้อยเพิ่มสูงขึ้น
“พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้ปกครอง ปัจจุบันเริ่มมีหลายรูปแบบ เช่น การซื้อรองเท้านักเรียนก่อนเทศกาลสงกรานต์เพื่อนำกลับไปให้ลูกที่ต่างจังหวัด หรือกลับบ้านที่ต่างจังหวัดในช่วงสงกกรานต์เพื่อไปซื้อรองเท้าให้ลูก รวมทั้งบางกลุ่มเริ่มทยอยซื้อในช่วงหลังสงกรานต์ หรือช่วงก่อนเปิดเทอม จึงทำให้โอกาสในการขายมีมากขึ้น จากราคาเฉลี่ย 199-400 บาท และมีอัตราการใช้เฉลี่ย 1.3 คู่ต่อคนต่อปี”
ดังนั้นแผนการตลาดของนันยางในปีนี้บริษัทฯได้ใช้งบการตลาด 70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 20% เพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย และโปรโมชั่นต่างๆ ณ จุดขาย ผ่านแคมเปญ “นันยาง ทุกก้าวคือตำนาน” และขายผ่านออนไลน์ พร้อมกับได้เตรียมสินค้าไว้เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค จากรองเท้า 4 รุ่น ได้แก่ รุ่น 205-เอส รองเท้าผ้าใบนักเรียนพื้นเขียว ,รุ่นแฮฟฟัน สำหรับนักเรียนประถมอายุ 6-9 ปี ,รุ่นชูการ์ รองเท้าผ้าใบสำหรับผู้หญิง และรุ่น121-เอ็น สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยและสายอาชีพ
นายจักรพล กล่าวต่อว่า ปัจจุบันโรงงานมีกำลังการผลิตรองเท้านันยางประมาณ 30,000 – 50,000 คู่ต่อวัน ซึ่งยังสามารถรองรับความต้องการของตลาดได้อยู่ อีกทั้งยังไม่มีแผนการปรับราคาสินค้า ตามปัจจัยต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยางพาราที่มีราคาเพิ่มจาก กิโลกรัมละ 60 บาท เป็น 80 บาท เนื่องจากต้องการลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองที่จ่ายช่วงเปิดเทอมค่อนข้างมาก
ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น ปัจจุบันส่งออกไปแล้วใน 15 ประเทศ อาทิ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ทั้งในรูปแบบขายผ่านตัวแทนท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ และบริษัทเข้าไปทำตลาดเอง เชื่อว่าปี2563ยอดส่งออกจะทำได้ 20% ของยอดขายทั้งหมด จากปีก่อนอยู่ที่ 12% หรือทั้งปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตได้อย่างน้อย 5% และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 41% เป็น 42% ของตลาดรวม 5,000 ล้านบาท หรือมีรายได้อย่างน้อย 2,100 ล้านบาทได้