ธพ.เผยเตรียมกำหนดให้ผู้ค้าแอลพีจี ม.7 ต้องสำรองแอลพีจีเพิ่มขึ้นจาก 1% เป็น 2.5% เริ่ม 1 ม.ค. 2564 โดยระหว่างนี้ให้เวลาเอกชนเตรียมตัวสร้างคลังหวังรับการนำเข้าแอลพีจีเพิ่มขึ้นในอีก 4-5 ปี เหตุก๊าซฯ อ่าวไทยลด
นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการรองรับการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ซึ่งในอีก 4-5 ปีข้างหน้าคาดว่าไทยจะต้องมีการนำเข้าแอลพีจีในปริมาณที่มากขึ้นเพราะปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยจะลดลง ดังนั้นเพื่อความมั่นคง ธพ.จึงเตรียมที่จะกำหนดให้ผู้ค้าแอลพีจีมาตรา 7 ต้องสำรองแอลพีจีจากปัจจุบัน 1% (3 วันครึ่ง) เป็น 2.5% (10วัน) โดยจะมีผลบังคับวันที่ 1 มกราคม 2564 ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ค้าได้มีเวลาในการก่อสร้างคลังแอลพีจีรองรับ
“การนำเข้าแอลพีจีเฉลี่ยจะอยู่ที่เดือนละ 2 หมื่นกว่าตัน แต่ต่อไปก๊าซฯ ที่จะทยอยลดลงโดยเฉพาะในช่วง 4-5 ปีข้างหน้าคาดว่าแอลพีจีจะมีการนำเข้ากลับมาอยู่ในระดับ 1 แสนตันต่อเดือน และต่อไปตลาดแอลพีจีก็จะคล้ายกับน้ำมัน ดังนั้นเพื่อความมั่นคงก็ต้องมีสำรองที่เพิ่มขึ้น โดยที่คิดเป็น 10 วันมาจากที่ไทยต้องนำเข้าแอลพีจีจากตะวันออกกลางจะเดินทางถึงไทย 15 วัน แต่ขณะนี้มีหลายที่ที่สามารถซื้อแอลพีจีได้มากขึ้นจึงเฉลี่ยอยู่ที่ 10 วัน” นายวิฑูรย์กล่าว
สำหรับการเปิดเสรีนำเข้าแอลพีจีที่เริ่มเปิดให้ยื่นนำเข้าเพื่อจำหน่ายในประเทศตั้งแต่ 22 ม.ค. 60 เพื่อให้นำเข้าจริง มี.ค.นั้น ขณะนี้ยอมรับว่าตลาดยังไม่ได้โตมากทำให้สัดส่วนการนำเข้าเฉลี่ยปีนี้ทั้งปีคงอยู่ราว 2 หมื่นกว่าตัน และมีผู้ที่นำเข้ามาเพิ่มขึ้นนอกเหนือจาก บมจ.ปตท. และ บมจ.ยูนิคแก๊ส แอนด์ปิโตรเคมีคัล ที่นำเข้ามาเพื่อส่งออกปกติจึงมีเพียง บมจ.สยามแก๊สแอนด์ปิโตรเคมี อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ธพ.ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังกรมเจ้าท่าเพื่อให้เรือลอยน้ำที่ใช้เป็นคลังชั่วคราวในการนำเข้าแอลพีจี (Ship to Ship) ของสยามแก๊สฯ ที่ อ.ศรีราชาให้ใช้ได้ไม่เกิน 3 ปีเนื่องจากต้องการให้เกิดการสร้างคลังบนบกแทน
ส่วนเกณฑ์การนำเข้าแอลพีจีเสรีเดิมผู้ประสงค์นำเข้าต้องทำแผนนำเข้า 3 ปีและต้องแจ้งทุกวันที่ 20 ของเดือน เริ่ม 20 ม.ค. ซึ่งปริมาณนำเข้านั้นไม่กำหนด แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถนำเข้าได้ตามปริมาณที่แจ้งจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.น้ำมันเชื้อเพลิง มีทั้งบทปรับและบทลงโทษ ซึ่งล่าสุด ธพ.ได้กำหนดให้ทำแผนนำเข้าเพิ่มเป็น6 เดือนแล้วเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นให้เอกชนได้ไปทำสัญญาซื้อขายที่มีโอกาสที่จะเป็นระยะยาวได้มากขึ้นซึ่งอาจจะเป็นผลดีในแง่ของราคาที่ต่ำลง