ผู้จัดการรายวัน 360 - ลุ้นปี 2563 ตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนทะลุ 10,000 ล้านบาท “มิตซูบิชิ เอลเลเวอเตอร์” เร่งสปีดเต็มตัวเพิ่มศักยภาพศูนย์ฝึกอบรมผ่านงบ 50 ล้านบาท รับฮับศูนย์การรักษาพยาบาลของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เทรนด์บ้านเดี่ยวมีลิฟต์มาแรง ส่งสิ้นปีรายได้ 2,400 ล้านบาท รั้งบัลลังก์เจ้าตลาดด้วยมาร์เกตแชร์ 30%
นายสันติพงษ์ บูรณกฤตยากรณ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนมูลค่า 7,000 ล้านบาท ปี 2560 นี้มองว่าจะยังเติบโต 5-7% หรือไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท จากความต้องการ 7,000 ยูนิต แบ่งเป็นลิฟต์ 85% บันไดเลื่อน 15% มาจากการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์
โดยเฉพาะกลุ่มที่พักอาศัยคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมราคา 40-50 ล้านบาทขึ้นไปที่หันมาติดตั้งลิฟต์ภายในบ้านมากขึ้น บวกกับการเติบโตของการเร่งพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ทั้งระบบรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน โครงการอาคารผู้โดยสารอาคารที่ 2 ของสนามบินสุวรรณภูมิ และการพัฒนาของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในส่วนของภาคสาธารณสุข ให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางด้านการรักษาพยาบาลในภูมิภาคนี้ เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ภายในปี 2563 ตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนจะมีมูลค่าถึง 10,000 ล้านบาทได้
ในส่วนของบริษัทพร้อมที่จะพัฒนาบุคลากรรองรับความต้องการของตลาด โดยปีที่ผ่านมาลงทุน 40 ล้านบาทสร้างศูนย์ฝึกอบรมการขนส่งแห่งใหม่พื้นที่ 1,200 ตารางเมตร ที่ถนนบางนา-ตราด กม.7 เป็นศูนย์ฝึกอบรมที่ทันสมัยและสมบูรณ์แบบที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ลูกค้าสามารถเข้ามาชมสินค้า ขนาด รวมทั้งระบบ Access Control รองรับการเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมด้านการขนส่งแนวดิ่งในภูมิภาค และปีนี้ยังลงทุนอีก 10 กว่าล้านบาท เพิ่มอุปกรณ์ต่างๆ ทำให้บุคลากรมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น หรือจะต้องมีช่างผู้ชำนาญ 300-400 คน และช่างบำรุงรักษาทั่วประเทศอีก 600 คน
นายสันติพงษ์กล่าวว่า ทิศทางเติบโตตลาดบันไดเลื่อนปีนี้ในส่วนของค้าปลีกจะน้อยลง แต่จะเพิ่มในส่วนของรถไฟฟ้าใต้ดินและบนดินแทน ส่วนลิฟต์จะเป็นกลุ่มพรีเมียมมากขึ้น คอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมแนวสูงจะมีมากขึ้น บ้านเดี่ยวราคาแพงจะหันมาติดตั้งลิฟต์มากขึ้น ขณะที่การแข่งขันของกลุ่มตลาดกลางลงล่างยังคงรุนแรง โดยบริษัทจะเน้นกลุ่มที่พักอาศัยมากขึ้น สิ้นปีนี้เชื่อว่าจะมีรายได้ 2,400 ล้านบาท โตทิศทางเดียวกับตลาด หรือน่าจะจำหน่ายได้กว่า 1,800 ยูนิต มีส่วนแบ่ง 30% เป็นผู้นำตลาดอีกปี จากปีก่อนเป็นผู้นำตลาดมีแชร์ 29% และภายในปี 2563 มั่นใจว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท หรือมียอดจำหน่ายร่วม 2,200 ยูนิต