ผู้จัดการรายวัน 360 - อุตสาหกรรมอาหารไทยดังไกลในตลาดโลก ส่งออกอันดับ 1 ในอาเซียน อันดับ 12 ในตลาดโลก คาดปี 60 เติบโต 8% แตะ 9 แสนล้านบาท กระทรวงพาณิชย์เร่งพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ จับมือ “หอการค้าไทย-โคโลญเมสเซ” จัดงาน THAIFEX - World of Food Asia 2017 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 26 พร้อมเพิ่มพื้นที่เป็น 9.35 หมื่น ตร.ม. หวังรองรับผู้ชมงาน 1.5 แสนคน ตั้งเป้ามูลค่าการซื้อขายสะพัดกว่า 1 หมื่นล้านบาท
นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับหอการค้าไทย และ “โคโลญเมสเซ ”(Koelnmesse) ผู้จัดงานแสดงสินค้าอาหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากสหภาพยุโรป (EU) กำหนดจัดงาน THAIFEX - World of Food Asia 2017 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 26 จนเป็นงานแสดงสินค้าอาหารที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ระหว่างวันที่ 31 พ.ค.-4 มิ.ย. 60 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าการซื้อขายกว่า 1 หมื่นล้านบาท
งาน THAIFEX - World of Food Asia ถือเป็นงานสำคัญที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย โดยปี 2559 สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยมากกว่า 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8 แสนล้านบาท ถือเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ในกลุ่มประเทศอาเซียน และอันดับ 12 ในตลาดโลก โดยคาดว่าปี 2560 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 8% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9 แสนล้านบาท
“อุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยมีจุดแข็ง 2 ด้าน คือ ความหลากหลายของวัตถุดิบ และความสามารถของผู้ประกอบการในการนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ในทุกห่วงโซ่ของอาหาร ส่งผลให้สินค้าอาหารของประเทศไทยหลายประเภทมีมูลค่าการส่งออกอยู่ใน 5 อันดับโลก ได้แก่ ข้าว, ไก่แปรรูป, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, กุ้งแช่แข็งและแปรรูป และเครื่องปรุงรส”
นางมาลีกล่าวด้วยว่า กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายกระชับความสัมพันธ์กับประเทศคู่ค้าผ่านการเจรจาเชิงรุกเพื่อเปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้าภายใต้กรอบการเจรจาระดับต่างๆ ควบคู่ไปกับการร่วมพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับไปสู่ตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายกลินท์ สารสิน รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวเสริมว่า การจัดงาน THAIFEX - World of Food ASIA เป็นอีกหนึ่งความพยายามของหอการค้าไทยและพันธมิตรที่ต้องการจะพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้านอาหารไทย โดยเฉพาะ SMEs จะได้เรียนรู้รูปแบบธุรกิจ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ จากต่างประเทศที่มาร่วมออกบูทในงานเพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจต่อไป นอกจากนั้นยังมีโอกาสพบปะคู่ค้าทางธุรกิจเพื่อสร้างช่องทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปีนี้จะมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมประมาณ 700 ราย คิดเป็น SMEs 520 ราย และมีผู้ประกอบการรายใหม่ 180 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 38%
นายภูษิต ศศิธรานนท์ กรรมการผู้จัดการ หจก.เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล เน็ตเวิร์ค ผู้แทน “โคโลญเมสเซ” ประจำประเทศไทย กล่าวเสริมว่า การจัดงานครั้งนี้ทั้ง 3 หน่วยงานพันธมิตรใช้งบประมาณ 300 ล้านบาท รวมงบประมาณการตลาด 25 ล้านบาท เพื่อเพิ่มที่การจัดงานเป็น 9.35 หมื่น ตร.ม. โดยมีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารร่วมออกงานมากกว่า 2,000 รายจาก 40 ประเทศทั่วโลก แยกเป็นจำนวนพาวิเลียน 36 ประเทศ คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 1.5 แสนราย
ประเทศไทยเปรียบเสมือนเวทีสำคัญที่จะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมอาหารให้มีโอกาสเติบโตในภูมิภาคเอเชียและตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง แต่ยังจำเป็นต้องพัฒนานวัตกรรม รวมถึงการวิจัยและพัฒนาเพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการ เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สิงคโปร์ที่ให้ความสำคัญในด้านนี้ โดยมีการใช้งบประมาณด้านนี้ถึง 4% ของงบประมาณรวมในการพัฒนาประเทศ ในขณะที่ประเทศไทยเริ่มให้ความสำคัญด้านนี้มากขึ้น แม้จะยังคงใช้งบประมาณเพียง .4% จากงบประมาณรวมในการพัฒนาประเทศ 2.2 แสนล้านบาท คิดเป็นงบประมาณจากรัฐ 40% และเอกชน 60% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติ
“ผู้ประกอบการไทยยังควรให้ความสำคัญในเรื่องทิศทางและเทรนด์อาหารในตลาดโลกซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในวงกว้าง โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารสุขภาพเพื่อสังคมผู้สูงวัยและการรับประทานอาหารเพื่อป้องกันโรคภัยความเจ็บป่วย เช่น อาหารมังสวิรัติ อาหารออร์แกนิกส์ อาหารฮาลาล และอาหารเพื่อสุขภาพต่างๆ พร้อมกันนั้นยังควรให้ความสำคัญด้านพัฒนาการของกระบวนการผลิตอาหารสำเร็จรูปพร้อมกับการสร้างแบรนด์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้ามากกว่าการเป็นวัตถุดิบ” นายภูษิตกล่าวในที่สุด